ต่อเนื่องจาก 2 กระทู้เก่า
“ผมคิดว่าทุกวันนี้ตลาดหุ้นไทยเปลี่ยนไปแล้ว (อยากให้ทุกคนได้อ่าน)”

ผมคิดว่าทุกวันนี้ตลาดหุ้นไทยเปลี่ยนไปแล้ว (อยากให้ทุกคนได้อ่าน)

“[ตอนจบ] ผมคิดว่าทุกวันนี้ตลาดหุ้นไทยเปลี่ยนไปแล้ว (อยากให้ทุกคนได้อ่าน)”

[ตอนจบ] ผมคิดว่าทุกวันนี้ตลาดหุ้นไทยเปลี่ยนไปแล้ว (อยากให้ทุกคนได้อ่าน)

หลังจากโหมโรงกับ 3 เรื่องสำคัญที่ผมคิดว่าส่งผลต่อตลาดการลงทุนไทยในปัจจุบัน เรามาเริ่มเปิดฉากกับการค้นหาความจริงในตลาดหุ้นกันต่อดีกว่า (หากใครมีแนวคิดและข้อมูลดี ๆ ก็ร่วมแชร์กันได้นะครับ) โดยผมจะพยายามพิสูจน์เรื่องที่คิดว่าเป็นประเด็นสำคัญที่ส่งผลต่อตลาดหุ้นและนักลงทุน พร้อมจัดทำเป็นหลักฐานและทดสอบอยู่บนสมมุติฐานที่ใกล้เคียงกับความเป็นจริง สำหรับบทความที่ผมจะนำเสนอในวันนี้จะมีความเกี่ยวข้องกับข้อมูลที่ทุกคนให้ความสำคัญในทุกสิ้นวันทำการ และเป็นข้อมูลที่ใครหลายคนใช้เป็นตัวยึดเหนี่ยวการตัดสินใจซื้อขายในวันถัดๆไป ซึ่งผลลัพธ์จะออกมาเป็นแบบไหนและทุกอย่างควรถูกปรับเปลี่ยนอย่างไร เรามาลองติดตามกันได้ในบทความนี้

ปริมาณการซื้อขายสิ้นวันเป็นเรื่องที่นักลงทุนให้ความสำคัญ

ในทุกสิ้นวันทำการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยจะมีการประกาศตัวเลขยอดการซื้อ-ขายของนักลงทุนแต่ละกลุ่ม โดยแบ่งเป็น 4 กลุ่มคือ ต่างประเทศ บัญชีบริษัทหลักทรัพย์ สถาบันและในประเทศ ซึ่งแต่ละคนก็ให้ความสำคัญกับแต่ละกลุ่มที่ต่างกัน บ้างเชื่อว่าต่างชาติขายหุ้นอย่างต่อเนื่องทำให้แนวโน้มตลาดหุ้นเป็นขาลง บ้างก็เชื่อว่าปัจจุบันกองทุนต่างหากที่มีอิทธิพลต่อตลาดหุ้นไทย หรือช่วงไหนที่ผันผวนก็มักโทษว่าเพราะโบรคเกอร์เป็นตัวทำให้ตลาดปั่นป่วน และคงมีนักลงทุนหรือนักวิจัยตลาดอีกไม่น้อยที่นำข้อมูลเหล่านี้ไปใช้เป็นปัจจัยในการวิเคราะห์ทิศทาง แต่หากวันหนึ่งผมบอกกับพวกท่านว่าข้อมูลที่พวกท่านกำลังยึดถืออยู่นี้เกิดการถูกบิดเบือนจากความจริง คำพูดของผมจะน่าเชื่อถือแค่ไหน พวกท่านสามารถพิจารณาได้จากเนื้อหาต่อไปนี้
นักลงทุน(ถูกทำให้)เคยชินกับตัวเลขการซื้อขายสุทธิทุกสิ้นวัน

ทุกครั้งที่ตัวเลขถูกประกาศทุกสิ้นวัน ผมคิดว่านักลงทุนคงมุ่งเน้นความสำคัญไปที่ยอดสุทธิของแต่ละกลุ่ม โดยเฉพาะยอดของนักลงทุนต่างชาติที่ออกมาให้ได้ลุ้นได้เสียวกันตลอดทุกสิ้นวัน สังเกตได้จากกระทู้ pantip ที่มักจะตื่นตัวกับยอดการซื้อขาย โดยเฉพาะวันที่ยอดซื้อขายสุทธิของบางกลุ่มออกมา + หรือ – มากกว่าปกติ ซึ่งเป็นเรื่องธรรมดาที่พวกนักลงทุนจะไม่รู้สึกผิดปกติจากตัวเลขเหล่านั้น เนื่องจากคงคุ้นชินกับการซื้อ-ขายสุทธิหลักร้อยหลักพันล้านมาแต่ไหนแต่ไร และนั่นหมายความว่าทุกวันนี้ไม่มีอะไรผิดปกติกับการซื้อ-ขายใช่หรือไม่ ? คำตอบคือไม่ใช่เลย … เคยมีใครรู้สึกตัวบ้างไหมครับ ว่าผู้เล่นหลักในตลาดหุ้นไทยถูกเปลี่ยนมือไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

ความผิดปกติที่สังเกตได้จากข้อมูลการซื้อขาย

ที่ผ่านมาผมเองเป็น 1 ในนักลงทุนที่ชะล่าใจมาตลอดและเฝ้ารอดูเพียงแค่ตัวเลข net ทุกสิ้นวันทำการ เพื่อนำมาใช้ในการประมวลผลของการลงทุนในวันพรุ่งนี้ โดยคิดว่าทุกอย่างเป็นปกติและเป็นไปตามธรรมชาติ แต่ก็มาเริ่มตงิดใจในเรื่องความผันผวนที่มากเกินไปของปริมาณการซื้อขายของนักลงทุนบางกลุ่ม โดยเฉพาะอย่างยิ่งในตลาด Futures และผมเชื่อว่าหลายคนคงเคยตั้งคำถามคล้าย ๆ กัน เช่น การที่ฝรั่งขนเงินออกจากประเทศไปมากขนาดนี้แปลว่าเขาไม่สนใจลงทุนในหุ้นไทยแล้ว ? สักวันหนึ่งคงเหลือแต่คนไทยซื้อขายกันเอง ?  ด้วยเหตุการณ์เหล่านี้จึงทำให้เกิดการอยากค้นหาคำตอบ ซึ่งได้ผลลัพธ์ที่ค่อนข้างน่าประหลาดใจ และจะเป็นอย่างไรพวกท่านสามารถรับรู้ได้จากข้อมูลสถิติเรื่องปริมาณการซื้อขายดังต่อไปนี้

รูปแสดงมูลค่าการซื้อขายในแต่ละวันของตลาดหุ้นไทยในช่วง มิ.ย.57 – มิ.ย.61 เป็นจำนวน 4 ปี

เริ่มต้นกันด้วยข้อมูลมูลค่าการซื้อขายรวมของตลาดหุ้นไทย จากกราฟจะเห็นว่ามูลค่าการซื้อขายของตลาดหุ้นไทยมีแนวโน้มที่สูงขึ้น โดยเฉพาะในช่วง 1 ปีหลังสุด โดยหากย้อนกลับไปเมื่อ 4 ปีก่อนจะพบว่ามีมูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยอยู่ประมาณ 4.5 หมื่นล้านต่อวัน แต่ในปีปัจจุบันพบว่ามีมูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยสูงถึง 6.5 หมื่นล้านต่อวัน ซึ่งข้อมูลนี้คงเป็นเรื่องที่น่ายินดีสำหรับธุรกิจหลักทรัพย์ ที่แนวโน้มของการซื้อ-ขายหุ้นมีมูลค่าที่สูงขึ้นเรื่อย ๆ แสดงให้เห็นว่าตลาดหุ้นไทยนั้นมีการเติบโตที่ค่อนข้างเสถียรและถือเป็นผลงานที่ดีของทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง แต่ในความจริงจะเป็นเช่นนั้นหรือไม่ ? เราลองมาดูรายละเอียดในส่วนลึกลงไปของข้อมูลกัน

ปริมาณการซื้อขายของทั้ง 4 กลุ่มควรสอดคล้องกับการเพิ่มขึ้นของปริมาณการซื้อขายทั้งหมด

ก่อนจะทำบทความนี้ผมคาดหวังให้ทุกอย่างไม่มีความผิดปกติ หรือพูดง่าย ๆ ผมอยากเห็นปริมาณการซื้อขายของทั้ง 4 กลุ่มมีการเคลื่อนไหวที่เป็นไปในทางเดียวกันหมดและเป็นไปในทางเดียวกันกับภาพรวมของตลาด ดังนั้นจึงลองนำข้อมูลปริมาณการซื้อและข้อมูลปริมาณการขายของแต่ละกลุ่มมาทำการพิจารณาดูว่ามีการเคลื่อนไหวในทิศทางที่สอดคล้องกับภาพรวมตลาดทั้งหมดหรือไม่ ? และได้ผลสรุปดังนี้
*ในบทความนี้จะหยิบเฉพาะปริมาณการซื้อมาทำการวิเคราะห์เนื่องจากข้อมูลปริมาณการซื้อและปริมาณการขายมีการเคลื่อนไหวที่เหมือนกัน

รูปแสดงปริมาณการซื้อของนักลงทุนกลุ่มสถาบันช่วง มิ.ย.57 – มิ.ย.61 เป็นเวลา 4 ปี

กลุ่มที่ 1 จากรูปข้อมูลปริมาณการซื้อในแต่ละวันของนักลงทุนกลุ่มสถาบัน (ขอย้ำอีกครั้งว่าเป็นข้อมูลเฉพาะฝั่งซื้ออย่างเดียวไม่ใช่สุทธิ เนื่องจากเราต้องการดูการเคลื่อนไหวของปริมาณการซื้อ-ขายในแต่ละวัน) พบว่ามีการเคลื่อนไหวที่แทบจะเหมือนกับการเคลื่อนไหวของมูลค่าการซื้อขายรวมของตลาด ซึ่งเป็นเรื่องที่น่ายินดีที่ข้อมูลนี้ตรงกับสมมุติฐานที่ว่าทุกกลุ่มควรมีการเคลื่อนไหวที่เหมือนกับตลาดโดยรวม แต่จะเป็นอย่างนั้นทั้งหมดหรือไม่ ? เราลองมาดูข้อมูลจากกลุ่มอื่น ๆ กันบ้าง

รูปแสดงปริมาณการซื้อของนักลงทุนกลุ่มบริษัทหลักทรัพย์ช่วง มิ.ย.57 – มิ.ย.61 เป็นเวลา 4 ปี

 

 

รูปแสดงปริมาณการซื้อของนักลงทุนกลุ่มนักลงทุนต่างประเทศช่วง มิ.ย.57 – มิ.ย.61 เป็นเวลา 4 ปี

กลุ่มที่ 2 และ 3  จากรูปข้อมูลปริมาณการซื้อของทั้งโบรคเกอร์และต่างชาติที่ดูเหมือนมีลักษณะการเคลื่อนไหวที่ใกล้เคียงกัน คือ เติบโตมาเรื่อย ๆ ในช่วง 3 ปี และมามีการเร่งตัวขึ้นในช่วง 1 ปีหลังสุดจนถึงปัจจุบัน ซึ่งค่อนข้างแตกต่างจากปริมาณการซื้อขายรวมทั้งหมดของตลาด (ในกราฟแรก) เพราะทั้ง 2 กลุ่มมีปริมาณการซื้อที่โตขึ้นเยอะกว่าตลาดโดยรวม โดยเฉพาะนักลงทุนต่างชาติที่เพิ่มในอัตราที่สูงกว่ากลุ่มอื่น ๆ ซึ่งเป็นเรื่องที่ค่อนข้างน่าตกใจ ทำไมกลุ่มคนที่นักลงทุนคาดการณ์ว่าขายทิ้งและออกจากตลาดหุ้นไทยกลับมีการซื้อ-ขายภายในวันที่เพิ่มขึ้นสูงมากกว่ากลุ่มอื่น ๆ ?

รูปแสดงปริมาณการซื้อของนักลงทุนกลุ่มนักลงทุนในประเทศช่วง มิ.ย.57 – มิ.ย.61 เป็นเวลา 4 ปี

กลุ่มที่ 4 ปริมาณการซื้อขายของกลุ่มสุดท้ายคือนักลงทุนในประเทศหรือที่เราเรียกกันว่ารายย่อย พบว่าผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นดูเป็นเรื่องที่ทำให้สับสนยิ่งขึ้นไปอีก ทำไมกลุ่มคนเราคิดว่าจะมีบทบาทที่สูงขึ้นและต้องคอยรับซื้อหุ้นจากนักลงทุนต่างชาติกลับมีปริมาณการซื้อขายในวันที่ทรงตัวมาตลอด และมีปริมาณการซื้อขายที่ลดลงในช่วงปีนี้สวนทางกับกลุ่มอื่น ๆ ที่เขามีการซื้อขายที่เพิ่มมากขึ้น ซึ่งทุกอย่างดูเป็นเรื่องที่ผิดไปจากที่คิดค่อนข้างมาก …

เราลองมาสรุปกันอีกรอบนะครับ แปลว่าในตอนนี้มูลค่าการซื้อขายของตลาดโดยรวมมีการเติบโตขึ้น แต่เมื่อพิจารณาจากองค์ประกอบแล้ว มีเรื่องที่ขัดกันอยู่ คือ มี 2 กลุ่มที่โตมากกว่าตลาดโดยรวม คือ โบรคเกอร์และต่างชาติ ส่วนมีอีก 1 กลุ่มที่มีแนวโน้มหดตัวลง คือ นักลงทุนในประเทศ จึงทำให้เกิดคำถามที่ขัดใจกับนักลงทุน จากคนที่ควรจะมีปริมาณการซื้อ-ขายระหว่างวันลดลงกลับเพิ่มสูงขึ้นจนน่าตกใจ และจากคนที่ควรจะมีปริมาณการเล่นที่เพิ่มขึ้นกลับลดน้อยลง รวมถึงจากข่าวต่าง ๆ พวกเราเองก็ไม่เคยได้ยินว่าโบรคเกอร์มีการจัดตั้ง Prop Trade เพิ่มมากขึ้นแต่ทำไมปริมาณการซื้อ-ขายของกลุ่มนี้ถึงเติบโต ? เอาละครับเราค่อย ๆ ลองมาหาคำตอบของคำถามเหล่านี้ดีกว่า

รูปแสดงสัดส่วนการลงทุนของนักลงทุนทั้ง 4 กลุ่มในตลาดหุ้นไทยของวันที่   15 มิ.ย. 61

จากรูปนักลงทุนส่วนใหญ่คงประเมินความหมายของตัวเลขสุทธิของแต่ละวัน ว่าแต่ละกลุ่มมีการซื้อขายสุทธิออกมาเป็น + หรือเป็น – เพื่อใช้มองทิศทางของนักลงทุนกลุ่มเหล่านั้น แต่หากเราลองเปลี่ยนข้อมูลเป็นตารางด้านขวา ที่ทำการรวมปริมาณการซื้อและขายเข้าไว้ด้วยกัน จะพบว่าสัดส่วนการลงทุนในระหว่างวันของนักลงทุนต่างประเทศมีการซื้อและขายรวมกันต่อวันสูงถึง 50.71% ของทั้งหมด หมายความว่าในปัจจุบันนี้บัญชีต่างประเทศเป็นผู้เล่นที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในประเทศเทียบเท่ากับทั้ง 3 กลุ่มที่เหลือรวมกัน ทั้ง ๆ ที่หลายคนมองว่านักลงทุนต่างประเทศขายหุ้นไทยเพื่อกลับไปบ้าง นำเงินไปทำอย่างอื่นบ้าง ดังนั้นเราลองย้อนไปดูอดีตกันว่าต่างประเทศมีสัดส่วนมูลค่าการซื้อขายรวมกันเป็นเท่าไหร่ของทั้งหมด

รูปแสดงสัดส่วนการลงทุนของทุกกลุ่มย้อนหลังตั้งแต่ มิ.ย.57 – มิ.ย.61 เป็นจำนวน 4 ปี

ในรูปที่ทุกคนเห็นแสดงสัดส่วนปริมาณการซื้อขายของทุกกลุ่มจำนวน 4 ปี ตั้งแต่ พ.ศ.2557 – ปัจจุบัน โดยเป็นข้อมูลที่ค่อนข้างน่าตกใจ จากเมื่อก่อนที่ตลาดหุ้นไทยมีสัดส่วนการซื้อขายรวมในแต่ละวันเป็นของรายย่อย (เส้นสีเหลือง) กว่า 70% แต่ในปัจจุบันกลับลดลงมาเหลือต่ำกว่า 40% และกลายเป็นนักลงทุนต่างชาติ (เส้นสีฟ้า) ที่มีสัดส่วนในตลาดหุ้นไทยมากขึ้นเรื่อย ๆ ไหนใครต่อใครมักบอกว่าต่างชาติไม่สนใจหุ้นไทยแล้ว ? และนักลงทุนรายย่อยในประเทศไทยหายไปไหนหมด ? นี่ไงครับที่ผมกำลังบอกกับทุกคนว่ามีเรื่องผิดปกติที่เกิดขึ้นกับการปริมาณการซื้อขายของตลาดหุ้นไทย นักลงทุนรายย่อยได้สูญเสียความเป็นอันดับ 1 ในตลาดให้กับนักลงทุนต่างประเทศไปเป็นที่เรียบร้อยแล้วในปีนี้ แปลว่าทุกอย่างนั้นผิดหมด ! รายย่อยต่างหากที่ออกจากตลาดส่วนต่างชาติกลับเข้ามามากขึ้น ?

ถ้าข้อสรุปผมเป็นแบบนี้คงเป็นเรื่องที่ช็อคกันหมดแน่ ๆ แต่ในความจริงแล้วไม่ใช่หรอกครับ จากการหาคำตอบกลับพบว่าสิ่งที่ทุกท่านคิดแต่แรกนั้นถูกต้องอยู่แล้ว รายย่อยยังเป็นผู้เล่นคนที่สำคัญที่สุดในตลาดหุ้นเหมือนเดิม แต่เพียงมีรูปแบบการลงทุนที่เปลี่ยนแปลงไป ทุกท่านคงพอเดาออกกันแล้วใช่ไหมครับ ว่าผมกำลังจะบอกอะไรกับพวกท่าน นั่นคือ รายย่อยหันไปซื้อ-ขายหุ้นกันแบบ Block Trade จากเดิมให้ตัวเองเป็นคนซื้อหุ้นแต่ตอนนี้เขาใช้ให้นักลงทุนกลุ่มอื่นไปซื้อหุ้นแทน แต่ก็มีเรื่องที่น่าแปลกใจว่าทำไมตัวเลขถึงไปออกที่นักลงทุนต่างชาติ ? ผมจึงลองเก็บข้อมูลเพิ่มเติม แปลว่าหากสมมุติฐานเรื่องนักลงทุนทำ Block Trade ถูกต้องจริง ๆ การที่ตัวเลขการซื้อขายหุ้นของต่างชาติเพิ่มขึ้นแปลว่า โบรคเกอร์รายใหญ่ที่เป็นคนทำ Block Trade ต้องเป็นโบรคเกอร์ของต่างชาติ

รูปแสดงการจัดอันดับปริมาณการซื้อขายทั้งหมดของโบรคเกอร์ในตลาด TFEX วันที่ 15 มิ.ย. 61


หากก่อนที่ท่านจะอ่านบทความนี้ ผมลองให้เดาเล่น ๆ ว่าบริษัทหลักทรัพย์ใดเป็นบริษัทที่มีปริมาณการซื้อขาย TFEX ต่อวันสูงที่สุด จะมีถึง 10 คนไหม ? ที่ตอบว่า JPM แต่นี่คือความจริง ทุกวันนี้สมาชิกโบรคเกอร์ที่มีการซื้อขายสูงสุดในตลาด TFEX คือ JPM เป็นเรื่องที่น่าแปลกใจ แต่ก็นับเป็นข่าวดีว่าสมมุติฐานถูกต้องตามที่คาดไว้ แปลว่านักลงทุนรายย่อยหันไปทำ Block Trade กับ JPM กันเป็นส่วนใหญ่ (ผมเดาว่าดอกเบี้ยถูกที่สุด) ดังนั้นปริมาณการทำ Block Trade ของรายย่อยจึงไปผลักให้ปริมาณการซื้อขายของนักลงทุนต่างชาติเพิ่มขึ้น ทั้ง ๆ ที่จริง ๆ แล้วนักลงทุนต่างชาติเองไม่ใช่คนที่มีความต้องการซื้อหุ้นหรือขายหุ้นด้วยเจตนาของตัวเอง

เป็นไงครับ เรื่องราวมันลึกลับซับซ้อนกว่าที่หลายคนคิดใช่ไหม ? และจากข้อมูลที่พวกได้รับรู้ในบทความนี้ผมมีคำถามย้อนกลับไปถามพวกท่านว่า ทุกวันนี้ปริมาณการซื้อขายสิ้นวันมีความถูกต้องมากน้อยแค่ไหน ? พวกท่านมั่นใจได้อย่างไรว่าการที่ฝรั่งขายสุทธิไม่ได้เกิดจากนักลงทุนรายย่อยไปทำ Block Trade กับ JPM หรือแม้กระทั่งการที่บัญชีบริษัทหลักทรัพย์มียอดซื้อ-ขายเหวี่ยงไปมา นั้นเป็นความต้องการของเขาจริง ๆ ไม่ใช่ของรายย่อย ดังนั้นผมอยากจะบอกกับพวกท่านทุกคนว่า ทุกวันนี้ยอดซื้อ-ขายที่ประกาศเป็นยอดที่แฝงเรื่องเหล่านี้เข้าไปแล้ว

หลังจากทุกคนได้รับรู้ความจริงเกี่ยวกับภาพลวงตาที่ซ่อนอยู่ในปริมาณการซื้อขายทุกสิ้นวันกันแล้ว คงมีนักลงทุนจำนวนไม่น้อยที่เป็นกังวลกับเรื่องนี้ และเริ่มคิดว่าข้อมูลที่เราเชื่อถือกันมาตลอดเวลานั้นมีความถูกต้องมากน้อยแค่ไหน (ผมเป็น 1 ในนั้น) ทางเราจึงได้ทำการศึกษาต่อและจากข้อมูลที่ได้ผมมีทั้งข่าวดีและข่าวร้ายจะมาบอกกับพวกท่าน โดยเริ่มจากข่าวดีกันก่อนดีกว่า

ปริมาณตัวเลขของยอดการซื้อขายรายย่อยที่แฝงตัวอยู่ในบัญชีบริษัทหลักทรัพย์และต่างชาติ 

อย่างที่รู้กันนะว่าข้อมูลที่แฝงอยู่ในกลุ่มต่าง ๆ เกิดจากการที่นักลงทุนรายย่อยเปลี่ยนตัวเองไปทำ Block Trade โดยการสั่งให้โบรคเกอร์ทั้งในและนอกประเทศไปซื้อหรือขายหุ้นแทนพวกเขา แปลว่าหากถ้าเราสามารถรู้มูลค่าการทำ Block Trade ของทุกวัน ก็พอจะคาดเดาตัวเลขที่คลาดเคลื่อนไปจากความเป็นจริงได้ ดังนั้นเราลองมาหาคำตอบของมูลค่า Block Trade ในแต่ละวันกันดีกว่า

คำสั่ง Block Trade เป็นธุรกรรมที่ต้องเปิดเผยอย่างเป็นทางการแบบ Real time
นับเป็นเรื่องที่ดีที่ธุรกรรม Block Trade เมื่อมีการส่งคำสั่งกันเสร็จสิ้นแล้ว ต้องถูกบอกให้นักลงทุนรับรู้แบบ Real time (อาจมี Delay ประมาณ 15 นาที) โดยนักลงทุนสามารถเข้าไปดูที่หน้าจอด้านซ้ายก่อนเข้าโปรแกรม Streaming ผ่านเมนู Trade report Information

รูปแสดงหน้าจอเมนู Trade report Information เพื่อใช้ดูธุรกรรม Block Trade ในวันนั้น

จากรูปเราสามารถเห็นปริมาณและราคาของธุรกรรม Block Trade ใน SSF ทุกตัว เพียงเท่านี้เราแค่เก็บข้อมูลในส่วนนี้มาหาคำตอบกันต่อโดยอาจใช้โปรแกรม Excel ผูกสูตรคำนวณคร่าว ๆ เพื่อหามูลค่ารวมของธุรกรรม Block Trade ในแต่ละวัน โดยสามารถดูได้จากตัวอย่างต่อไปนี้

รูปแสดงตัวอย่างการคำนวณมูลค่า Block Trade วันที่ 15 มิ.ย. 61

จากรูปพบว่าในวันที่ 15 มิ.ย. 61 มีปริมาณการทำ Block Trade ทั้งสิ้น 777 รายการ เมื่อนำราคาคูณกับปริมาณหุ้นและจำนวนสัญญาจะได้มูลค่า Block Trade ของแต่ละรายการ สุดท้ายหาผลรวมมูลค่าของทุกรายการก็จะได้มูลค่า Block Trade ทั้งหมดที่เกิดขึ้นในวันนั้น ซึ่งก็คือมูลค่าทั้งหมดที่นักลงทุนรายย่อยใช้ให้โบรคเกอร์ทั้งในและต่างประเทศไปทำการซื้อหรือขายหุ้นแทน โดยจากตัวเลขพบว่าอยู่ที่ประมาณ 5,994 ล้านบาท ซึ่งเมื่อเทียบกับปริมาณการซื้อขายในตลาดหุ้นของวันเดียวกันที่ 68,841 ล้านบาท จะคิดเป็น 8.7%

และนี่แหละครับคือข่าวดีของทุกคน แม้ธุรกรรม Block Trade จะถูกแฝงลงไปในการซื้อขายของกลุ่มต่าง ๆ แต่ก็ยังมีผลกระทบไม่เยอะมาก หรือราว ๆ 10% เท่านั้น แปลว่าข้อมูลอีก 90% ที่เหลือยังคงน่าเชื่อถือและใช้ได้ (ในอนาคตหาก Block Trade ยิ่งโตขึ้นก็ต้องยิ่งพิจารณาเพิ่มมากขึ้น)

แล้วข่าวร้ายคืออะไร ?                                                                                                                                                                                           ในฐานะนักลงทุนที่ให้ความสำคัญกับตัวเลขปริมาณการซื้อขาย ผมคิดว่าทุกคนคงอยากทำให้ถูกต้อง ในเมื่อเรารู้ว่ามีบางส่วนที่รายย่อยแฝงอยู่ในทั้ง บล.และต่างชาติ ก็สามารถทำให้มันถูกต้องด้วยการจัดทำใหม่และนำมูลค่าในส่วนของ Block Trade กลับไปเป็นของรายย่อยให้สมเหตุสมผล แต่ขั้นตอนการทำนั้นไม่ได้ง่ายเลย เรามาลองดูอุปสรรคกันดีกว่า

รูปแสดงปริมาณการซื้อขายของแต่ละกลุ่มในตลาด   TFEX ของวันที่ 15 มิ.ย. 61

จากรูปใครที่อ่านแล้วตามทันถึงตรงนี้ (บวกกับความรู้ของบทความแรก) จะรู้ทันทีว่าปริมาณการซื้อขายSSF ที่ TFEX ประกาศออกมาทุกสิ้นวันนั้นเป็นของ Block Trade แทบทั้งสิ้น แปลว่าเมื่อเรารวมจำนวนสัญญาที่เกิดขึ้นทั้งหมดจะเทียบเท่ากับมูลค่า Block Trade ที่เราหามาก่อนหน้า
นี่แหละครับ คือข่าวร้าย เราไม่มีสิทธิรู้จริง ๆ ว่า สัญญาที่เกิดขึ้นนักลงทุนเขาส่ง SSF ตัวใดกับที่ใด (แม้ว่า 1 สัญญาเหมือนกันแต่หุ้นแต่ละตัวมีมูลค่าที่แตกต่างกัน) ดังนั้นเพื่อให้ผลวิจัยนี้ดำเนินต่อไปได้ ทางเราจำเป็นต้องกำหนดสมมุติฐานให้ทุกสัญญามีมูลค่าเท่ากัน ขออนุญาตใส่สปอยสำหรับคนที่ไม่สนใจวิธีคำนวณ

          สรุปคือหากถ้านักลงทุนเห็นยอดการซื้อขายผิดปกติของทั้งบล.และต่างชาติ เช่น ขายเยอะผิดปกติให้ทำการดูยอด Single Stock Futures ของทั้ง บล.และต่างชาติ  โดยหากออกมาว่าเป็น Long สุทธิ ให้รู้ว่ายอดการขายนั้นเกิดจากรายย่อย Block Trade เสริมแรงลงมาด้วย

เราลองมาพิจารณาดูสัดส่วนของ Block Trade ที่แฝงในการซื้อขายต่างชาติใน 10 วันทำการหลังสุด โดยใช้ตรรกะเดียวกันในการวิเคราะห์ จะได้ผลลัพธ์ดังตาราง

ตารางแสดงปริมาณการซื้อขายหุ้นที่เกิดจาก Block Trade กำหนดให้ Block Trade = 10% ของมูลค่าการซื้อขาย 10 วันทำการก่อนหน้า

จากตารางพบว่าในช่วงหลังปริมาณการซื้อขาย SSF สุทธิของนักลงทุนต่างชาติมีปริมาณที่ค่อนข้างสูงมากและจะเห็นว่าในช่วงที่ผ่านมาต่างชาติมีปริมาณการซื้อสุทธิใน SSF อย่างต่อเนื่อง สอดคล้องกับยอดขายสุทธิในกระดานหุ้นของต่างชาติที่มีการขายสุทธิอย่างรุนแรง แสดงว่าการขายของต่างชาติที่รายย่อยสั่งขาย Block Trade อยู่ด้วย (สามารถดูยอดได้จากช่องด้านขวาสุด)

แล้วหากตัด Block Trade ไปวางอยู่บนความถูกต้องปริมาณการซื้อขายควรเป็นเท่าไหร่ ?

ตารางแสดงการซื้อขายของต่างชาติก่อนและหลังผลต่างของมูลค่าการซื้อขาย Block Trade

จากตารางสรุปได้ว่า ในช่วงที่ผ่านมาแม้ต่างชาติจะขายสุทธิในปริมาณมาก แต่บางวันที่ก็ส่วนที่รายย่อย Short Block Trade เข้ามาผสมด้วย และมีบางวันอย่างวันที่ 4 มิ.ย. ที่ประกาศตัวเลขขายสุทธิออกมาหากไม่นับรวมเรื่อง Block Trade ต่างชาติเป็นฝ่ายซื้อสุทธิเสียด้วยซ้ำ ในฝั่งของบัญชีบริษัทหลักทรัพย์เองก็เช่นกัน บางครั้งที่เห็นยอดการซื้อขายสลับไป-มา อาจเป็นเพรา โบรคเกอร์จำเป็นต้องซื้อหรือขายหุ้นด้วยเจตนาของนักลงทุนที่ทำ Block Trade (หากท่านเก็บข้อมูลของโบรคเกอร์ด้วยจะรู้ทุกวันนี้การซื้อขายของโบรคเกอร์เกินกว่า 20% เกิดจาก Block Trade ของรายย่อย)

สุดท้ายแล้วอย่างที่เคยกล่าวไว้ว่าการเข้ามาของ Block Trade ทำให้ข้อมูลสำคัญที่เราใช้กันมีความผิดเพี้ยนจากความเป็นจริง จึงทำให้ควรระมัดระวังในการนำไปใช้ โดยทางทีมงานเราจะพยายามคิดวิธีและตรรกะในการปรับเปลี่ยนที่ดีที่สุดและโพสให้ทุกคนได้รับรู้ในทุกสิ้นวัน และหวังว่าข้อมูลเหล่านี้จะเป็นประโยชน์ให้กับนักลงทุน และต้องยอมรับว่าปัจจุบันตลาด TFEX เชื่อมต่อกับตลาดหุ้นอย่างแยกกันไม่ได้ เรายังสามารถใช้ประโยชน์อื่น ๆ ได้อีกมากมายตัวอย่างเช่น ใช้ Block Trade ในการดูความเคลื่อนไหวของรายใหญ่ ดังรูป

หุ้น BEAU_Y ที่มีปริมาณการซื้อขาย Block Trade เข้ามาหลายหมื่นสัญญาในช่วงอาทิตย์ก่อน บ่งบอกได้ถึงการเก็บหุ้นของนักลงทุนรายใหญ่บางคน/กลุ่ม โดยในส่วนนี้หากใครสนใจเราจะนำเสนอในบทความถัดๆไปให้พวกท่านได้รู้ถึงข้อมูลเหล่านี้ รวมถึงหายนะที่ Block Trade อาจทำให้ตลาดหุ้นไทยเกิดการแพนิคในรอบนี้
สุดท้ายนี้กลุ่มของพวกเราเป็นนักลงทุนที่ทดสอบและใช้ข้อมูล,ตัวเลขเหล่านี้สร้างเป็นเหตุผลและ Logic ในการซื้อขายในตลาด TFEX หากใครที่คิดว่ามีแนวคิดที่คล้ายกัน สามารถรวมกลุ่มกันเพื่อพัฒนาให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ผมยินดีมอบสิ่งอำนวยความสะดวกในการลงทุนให้กับทุกท่านโดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย ทั้งเรื่องต้นทุนการเทรดที่ลดลงจากการรวมกลุ่ม, ความรู้พื้นฐานเรื่องการเขียนโปรแกรม AmiBroker, กรุ๊ปไลน์   Alert การเคลื่อนไหวที่สำคัญของราคาหุ้นในตลาด รวมถึงข้อมูลของ Block Trade และอื่น ๆ ที่ทางเราจัดทำไว้ใช้ในการลงทุน โดยสิ่งที่กลุ่มเราต้องการไม่ใช่ผลประโยชน์จากพวกท่าน ทางเราต้องการสร้างอำนาจการต่อรองกับโบรคเกอร์ เพื่อให้กลุ่มได้ผลประโยชน์ที่เพิ่มขึ้น รวมถึงแนวคิดและไอเดียจากนักลงทุนท่านอื่น ๆ หากใครสนใจเป็นส่วนร่วมก็ทักมาคุยกันได้นะครับ สุดท้ายขอให้ข้อมูลที่ทางเราจัดทำขึ้นเกิดประโยชน์กับทุกท่านและขอให้ทุกท่านประสบความสำเร็จในการลงทุน ขอบคุณครับ