จากสัปดาห์ที่ผ่านมาตลาดหุ้นไทยได้พบเจอกับการร่วงลงของดัชนี จนทำให้เกิดการ Circuit Breaker ติดต่อกันถึงสองวันทำการ นักลงทุนหลายท่านคงมีคำถามในใจกันมากมายทั้งเรื่องที่มันขึ้นได้อย่างไร ? ใครเป็นคนทำให้เกิดขึ้น และที่สำคัญมันจบแล้วหรือยัง ? โดยในฐานะที่พวกเราเป็นคนที่ได้เก็บรวบรวมข้อมูลบางอย่างมาโดยตลอด เราจึงอยากนำมาเสนอพร้อมกับแชร์มุมมองอีกมุมที่คิดว่า มันได้ทำจุดต่ำสุดไว้แล้วในวันศุกร์ที่ผ่านมา ด้วยเหตุผลดังนี้

ในทุกรอบที่ตลาดหุ้นจบขาลงใหญ่มักจะจบด้วยการ Panic เสมอ เม่าติดดอย

นักลงทุนที่เข้ามาในตลาดช่วง 10 ปีหลังมานี้ คงมีความคิดคล้ายกับพวกเราที่ทุกครั้งเวลาเห็นตลาดเป็นขาลงมักรอลุ้นให้จบรอบ จนบางคนอาจสบถคำบางคำออกมาว่า “เมื่อไหร่จะ Panic ให้มันจบ ๆ ไปสักที” โดยการ Panic นี้เปรียบเสมือนการล้างหน้าไพ่เริ่มต้นกันใหม่ ซึ่งจากอดีตในช่วงที่ผ่านมาตลาดหุ้นไทยเคยเกิดการ Panic ใหญ่ ๆ 2 ครั้ง ดังนี้

รูปแสดงการ Panic ของตลาดหุ้นไทน 2 ครั้งล่าสุดใน 10 ปีที่ผ่านมา (2557 และ 2559)


ย้อนกลับไปในช่วงปลายปี 2557 และปี 2559 ต่างก็มีเหตุการณ์ที่เหมือนกัน คือ ตลาดปรับตัวลดลงอย่างรุนแรงและมีอยู่วันหนึ่งที่ตลาดทุบแรงกว่าวันอื่น ๆ ที่เราเรียกกันว่า “อาการ Panic” จากนั้นก็ลากกลับคืนไปอย่างรวดเร็วในระหว่างวันจนทำให้วันนั้นกลายเป็นจุดต่ำสุดของรอบ และในช่วงเวลาต่อมาตลาดหุ้นสามารถปรับตัวเพิ่มขึ้นแรงเกินกว่า 200 จุดภายในเวลาไม่กี่เดือน นำพาสถานการณ์ปกติกลับคืนมาสู่ตลาดอีกครั้ง โดยปล่อยให้เวลาเป็นตัวเยียวยารักษาอาการบาดเจ็บให้กับนักลงทุนที่เสียหายและเรื่องราวเหล่านี้ก็จางหายไปไม่ถูกพูดถึงอีกในสังคมการลงทุนอีก

แล้วเรื่องแบบนี้คือเรื่องบังเอิญจริง ๆ หรือ ?

พวกท่านจะเชื่อเราไหม ถ้าเราบอกว่า มันไม่ใช่เรื่องบังเอิญแต่อย่างใด และเราขอยืนยันว่า มันเป็นเงื่อนไข“จำเป็น” ที่ต้องเกิดในทุก ๆ ครั้งที่ตลาดเป็นขาลง เพราะสาเหตุต้นตอมันมาจากการที่ธุรกรรมตัวหนึ่งที่เข้ามามีบทบาทสำคัญกับตลาดหุ้นไทยในช่วงหลัง โดยธุรกรรมตัวนั้นก็คือ “Block Trade”

พวกเราเป็นคนเริ่มต้นเปิดเผยเรื่องราวเกี่ยวกับธุรกรรม Block Trade และเราได้กล่าววลีหนึ่งไว้ด้วยความมั่นใจว่า มันจะเป็นธุรกรรมที่เปลี่ยนโฉมของตลาดหุ้นไทยไปตลอดกาล ดังกระทู้ “ผมคิดว่าทุกวันนี้ตลาดหุ้นไทยเปลี่ยนไปแล้ว (อยากให้ทุกคนได้อ่าน)”
โดยเนื้อหาในกระทู้นั้นได้บอกกับพวกท่านว่า Block Trade จะเป็นธุรกรรมสำคัญที่ทำให้ตลาดหุ้นไทยเปลี่ยนแปลงไป เพราะมันเป็นการปล่อยให้นักลงทุนสามารถกู้เงินมาซื้อหุ้นได้เป็น 10-20 เท่าของเงินที่มี ทวีคูณกำลังซื้อยิ่งกว่าธุรกรรม Margin ในอดีตที่สามารถกู้เงินได้เพียงแค่ 2 เท่าเท่านั้น ซึ่งไม่มีที่ไหนในโลกเขาทำกัน ดังนั้นทุกคนคงพอคิดสภาพออกแล้วใช่ไหมครับ ว่าการกู้เงินมาซื้อหุ้นที่เกินตัว (Overtrade) ในปริมาณมากขนาดนี้ ถ้าหุ้นตกผลที่ตามมาจะเป็นอย่างไร ? โดยวันนี้เราขออาสามาเป็นล่ามในการบอกเล่าเคสประวัติศาสตร์นี้ให้กับทุกท่านได้รับรู้

ริ่มมาจากการสะสม Block Trade เม่าออม

ทุกคนจำได้ไหมครับ ? ว่าพวกเราเคยบอกให้ทุกคนจับตาพฤติกรรมค่าค่าหนึ่งไว้ตลอด ซึ่งเป็นค่าที่คอยส่งสัญญาณว่าตลาดหุ้นไทยกำลังอยู่ในอันตราย โดยค่านั้นก็คือ สถานะคงค้างของสัญญาของ Futures (Open Interest) เพราะนักลงทุนทุกท่านที่ใช้บริการธุรกรรม Block Trade ในการขยายอำนาจซื้อเพื่อเก็บหุ้น พวกเขาจะต้องทิ้ง “หลักฐาน” ตัวหนึ่งไว้เสมอ ซึ่งก็คือ OI ที่เป็นตัวบ่งบอกว่าหุ้น/Futures แต่ละตัวมีคู่สัญญาคงค้างไว้ในระบบกี่คู่ และนั่นก็คือจำนวนของคนทำ Block Trade เอาไว้ ดังนั้น การสะสม Block Trade ข้อมูลทุกอย่างถูก Public ออกทุกสิ้นวันโดยรายงานที่ https://www.tfex.co.th/tfex/monthlyMarketSummary.html ดังรูป

รูปแสดงสถานะคงค้างของ Futures Product ในช่วง 1 ปีที่ผ่านมา

สถานะคงค้างของ Block Trade สูงที่สุดเป็นประวัติการณ์เมื่อปลายปีก่อน

จากรูปจะเห็นว่าในช่วง 1 ปีที่ผ่านมา สถานะคงค้างของของธุรกรรม Block Trade มีค่าสูงถึง 3.7 ล้านสัญญาในช่วงเดือนตุลาคม 2562 ซึ่งมากที่สุดในประวัติศาสตร์เท่าที่เคยมี (ในช่วงนั้นตลาดหุ้นไทยยังอยู่เหนือระดับ 1600 จุด) ซึ่งโดยส่วนใหญ่นักลงทุนจะมีพฤติกรรมในถือฝั่งขา Long เป็นหลัก ดังนั้นจึงแปลความหมายได้ว่า “มีนักลงทุนให้ความสนใจในการใช้ Block Trade เพื่อขยายอำนาจซื้อในการซื้อหุ้นเป็นจำนวนมากที่สุดในช่วงปลายปีก่อน”

ดังนั้น ลองมาวิเคราะห์สถานการณ์กันนะครับ ว่าระดับ OI กว่า 4 ล้านสัญญานี้มันมีความหมายอย่างไร โดยหากคิดมูลค่าสัญญาโดยเฉลี่ยที่ประมาณ 20,000 บาท เทียบเท่ากับว่าสถานะคงค้างก้อนนี้มีมูลค่ารวมกันสูงถึง 80,000 ล้าน (หรืออาจจะมากกว่า) โดยที่นักลงทุนใช้เงินลงทุนเพียง 10% หรือ 8,000 ล้านบาทในการลงวางเงินแปะเอาไว้ เท่ากับว่า ส่วนต่างที่เหลืออีกหลายหมื่นล้านบาทนั้นเป็นเพียง ความต้องการซื้อปลอม ๆ ที่โบรกเกอร์เขาควักเงินของตัวเองไปซื้อหุ้นแทนที่นักลงทุน ซึ่งพร้อมที่ขายออกมาทุกเมื่อเมื่อเงินที่เงิน 10% ของนักลงทุนนั้นสูญหายหมดไป ดังนั้น สภาพตลาดหุ้นคงไม่ต่างอะไรจากลูกโป่งลูกใหญ่ ที่อัดแก๊สเข้าไปด้วย Demand ปลอม ๆ หลายหมื่นล้านบาท ซึ่งนี่คือโครงสร้างของตลาดหุ้นไทยตลอดช่วง 5-7 ปีที่ผ่านมา

แล้วสถานการณ์แบบนี้จะคงอยู่ต่อไปได้นานแค่ไหน ? เม่าอ่านหนังสือพิมพ์

อันที่จริงมันคงสามารถอยู่ได้ตราบนานเท่านาน เพราะแม้ว่าโครงสร้างฐานของตลาดหุ้นมันจะไม่แข็งแรงหรือบิดเบี้ยวไปอย่างไรก็ตาม ถ้าทุกคนพร้อมใจกันปิดตาหรือทำเป็นมองไม่เห็นลูกโป่งใบนี้มันก็คงสภาพเดิมของมันไปตลอด แต่พวกท่านคิดว่าหากถ้ามีคนที่เดินผ่านมา แล้วจ้องมองไปที่ลูกโป่งใบนี้แล้วเห็นว่าข้างในบรรจุเงินไว้มหาศาล มีหรือที่พวกเขาจะไม่หาอะไรมาทำลายมัน เพื่อกอบโกยเงินเข้ากระเป๋าตัวเอง และเรื่องราวก็เป็นแบบนั้นแหละครับ ว่ามีคนบางกลุ่มที่เข้าใจเรื่องนี้ดีเหมือนกับพวกเรา แต่พวกเขามี Power ที่มากกว่า และรอคอยวันที่ลูกโป่งใบนี้สุกงอมพองตัวให้มากสุด (พวก Block Trade & Margin ที่เก็บหุ้นตอน Sideway) รอวันที่เปลือกผิวของลูกโป่งบอบบางที่สุด (ราคาหุ้นไม่สมเหตุสมผลกับสภาวะเศรษฐกิจ) จากนั้นรอเพียงแค่ Factor สุดท้าย … ที่จะเป็นสัญญาณบอกให้ทุกคนที่จ้องมองลูกโป่งใบนี้กระหน่ำแทงมันให้แตกยับ นั่นก็คือ “สภาวะตกใจ (panic) ของคนในตลาด”

ขั้นตอนที่ 1.การเตรียมความพร้อมในการเก็งกำไรขาลง เม่าจอแดง

แน่นอนว่าหากถ้าพวกเขาจะทำกำไรในขาลงย่อมหนีไม่พ้นการใช้เครื่องมือทางการเงินสำหรับการเล่นขาลงอย่างShort Sell ในตลาดหุ้น และการ Short Futures โดยเรามาดูหลักฐานการ Short Sell ในช่วงที่ผ่านมากันนะครับ

รูปแสดงการเปรียบเทียบสัดส่วนของการ Short sell และมูลค่ารวมของตลาดหุ้นไทย

การขยายตัวของธุรกรรม Short sell เติบโตขึ้นมากกว่า 100% ในปีก่อน

จากรูปจะเห็นได้ว่ามูลค่าการขายชอร์ตค่อย ๆ เพิ่มขึ้นในช่วงหลัง และโตขึ้นเป็นอย่างมากใน 2 ปีหลังสุด (2018 , 2019) โดยมีอัตราการเติบโตสูงถึง 65% , 134% ตามลำดับ นอกจากนี้เมื่อเปรียบเทียบสัดส่วนระหว่างมูลค่าการ Short Sell กับมูลค่าของตลาดหุ้นแล้วพบว่าปัจจุบันมีมูลค่าสูงถึง 5.9% แตกต่างจากในอดีตที่สัดส่วนเพียงแค่ 1% เท่านั้น โดยข้อมูลในส่วนนี้บ่งบอกได้เป็นอย่างดีถึงการเตรียมการในการเล่นขาลงของนักลงทุนกลุ่มต่าง ๆ ในตลาดที่แทบทุกกลุ่มหันมาเล่นขาลงกันเพิ่มมากขึ้น

รูปแสดงการ Short sell ของนักลงทุนต่างชาติผ่าน NVDR

จากรูปจะสังเกตว่า ในรอบ 12 เดือนที่ผ่านมา จำนวนหุ้นที่ถูก Short Sell ผ่านกระดาน NVDR ที่เป็นตัวแทนของการซื้อขายของนักลงทุนต่างชาติมีแนวโน้มสูงขึ้นเรื่อย (สีฟ้ารูปบน) โดยไปพีคสุดที่เดือนตุลาคม สอดคล้องกับช่วงที่ Open Interest ใน Block Trade สูงสุดเมื่อปีก่อน จากนั้นรูปล่างข้างล่างจะแสดงข้อมูลที่ชัดเจนยิ่งขึ้น เพราะพวกเขาได้เดินหน้ากระหน่ำ Short Sell ในกระดาน NVDR ของหุ้นใน SET50 เป็นสัดส่วนที่สูงขึ้นเรื่อย ๆ จนมาถึงจุดสูงสุดกว่า 42% ในเดือนที่ผ่านมา (ก.พ. 2563)

จากข้อมูลทั้งหมดจะเห็นว่า มีคนบางกลุ่มเขาได้เตรียมพร้อมในการเล่นหุ้นขาลงมาเป็นปี ๆ แล้ว โดยพวกเขารอเพียงแค่ “จังหวะ” ที่เหมาะสม โดยในส่วนนี้คงเป็นเรื่องยากและอาจไม่มีตอบได้อย่างแน่ชัดว่ามันจะมาเมื่อไหร่ เพราะเรื่องบางเรื่องก็เกินกว่าที่จะควบคุมได้ และในที่สุดสิ่งที่พวกเขารอคอยก็มาถึง นั่นคือ เหตุการณ์ที่ทำให้ตลาดหุ้นทั่วโลกลงหนัก

ขั้นตอนที่ 2 การรับรู้กำไรจากสภาวะตลาดขาลง เม่าชอปปิ้ง

อันที่จริงในเรื่องนี้ เราเองก็ไม่อยากจะใส่ร้ายคนกลุ่มใดกลุ่มนึงว่าพวกเขาจะมี “เจตนา” ซ้ำเติมให้ตลาดหุ้นไทยปรับตัวลดลงแรงจากปัจจัยลบที่กระหน่ำเข้ามากระทบกับตลาดหุ้นในช่วงต้นปีที่ผ่านมา แต่ถ้าเรามาดูหลักฐานก็จะพบว่ามันพอมีส่วนที่เป็นแบบนั้นอยู่บ้าง ดังรูป

รูปแสดง 10 อันดับการขาย Short ของหุ้นไทยในเดือน ก.พ.

เมื่อพิจารณาจาก % Short Sell จะพบว่า หุ้นที่มีปริมาณ Short Sell สูงสุด 10 อันดับแรกนั้นมีตัวใหญ่ที่ส่งผลต่อดัชนี SET50 อย่าง PTTGC , GULF , PTT และตัวอื่น ๆ ที่ลงแรงในช่วงนี้ทั้งสิ้น ซึ่งนี้อาจจะเป็นอีกแรงหนึ่งที่พวกเขาต้องการ “เร่ง” ผลักดันให้ Domino ชิ้นแรกล้มลง โดยสุดท้าย พวกเขาก็ทำสำเร็จและทำให้ผลกระทบที่พวกเขาคาดหวังไว้เป็นจริง ! โดยโครงสร้างทุกอย่างใน Block Trade เริ่มพังทลาย … และกลายเป็นข้อมูลสำคัญที่ทุกท่านต้องทำความเข้าใจ ดังนี้

พวกท่านยังจำกันได้ใช่ไหมว่า OI เคยทำจุดสูงสุดที่ 3.7 ล้านสัญญาเมื่อปลายปีก่อน ถ้าอย่างนั้นพวกท่านคิดว่าปัจจุบันจะมีสถานะคงค้างเหลือในระบบเท่าไหร่ ? เราลองเอาภาพเดิมมา rerun อีกครั้ง

รูปแสดงสถานะคงค้างของ Futures Product ในช่วง 1 ปีที่ผ่านมา

จากรูปจะเห็นว่าสถานะคงค้างของ Block Trade หายไปเกือบ 2 ล้านสัญญา ซึ่งก็คือกว่าครึ่งนึง ! แสดงให้เห็นถึงการล้มหายตายไปของคนที่ทำการ Block Trade ฝั่งขา Long  ที่ทนพิษบาดแผลไม่ไหว สายป่านไม่พอและไม่เหลือเงินที่จะเติม จึงทำให้เข้าสู่กระบวนการ Force Close บังคับปิดสถานะออกไป และเมื่อพวกเขาถูกบังคับขาย โบรกเกอร์จะต้องนำหุ้นที่ซื้อแทนที่ไว้ไปขายในตลาด โดยการโยนออกแบบ MP แทบทุกรายการ (โบรกเกอร์ไม่สนใจว่านักลงทุนจะติดลบแค่ไหน เขามีหน้าที่ทำตามกฎ และให้นักลงทุนรับผิดชอบหนี้ก้อนนั้น) สร้างความพินาศให้กับตลาดหุ้นแบบปฏิกิริยาลูกโซ่ โดยพวกท่านสามารถพิจารณาของ OI ของหุ้นแต่ละตัวได้จากรูป ดังนี้

รูปแสดงสถานะคงค้าง (Open Interest) ของหุ้นรายตัวในช่วงเดือน ก.พ. – ปัจจุบัน

จากรูปจะเห็นว่าหุ้นทุกตัวมีค่า OI ที่ปรับตัวลดลง สอดคล้องกับภาพรวมของธุรกรรม Block Trade ที่มีสถานะคงค้างลดลง ดังนั้นนี่จึงเป็นเหตุผลที่ทำให้ตลาดหุ้นไทยปรับตัวลดลงอย่างรวดเร็วและรุนแรงกว่าที่อื่น เพราะไม่เพียงแต่ปัจจัยลบที่กดดันตลาด ยังมีผลกระทบจากเรื่องเหล่านี้ที่มีกลุ่มคนบางกลุ่มแสวงหาผลประโยชน์จากธุรกรรมเหล่านี้  ทิ้งเหลือไว้เพียงแค่ซากความเสียหายให้นักลงทุนฟื้นฟูมันกลับขึ้นไป อันที่จริงพวกเราเองก็พอทราบอยู่แล้วละครับ ว่าสักวันมันจะต้องเป็นแบบนี้ เราจึงพยายามนำเสนอการใช้ TFEX ที่ถูกต้องไปในต้นเดือน ม.ค. ดังบทความ

https://pantip.com/topic/39599293 >> นี่คือเหตุผลว่าทำไมนักลงทุนทุกท่านจำเป็นต้องเล่น TFEX

ฟังดูเหมือนจบแล้วใช่ไหมครับ ? แต่ทุกอย่างยังไม่จบ เม่าอ่าน

เราบอกกับทุกท่านไปแล้ว ว่าขั้นตอนทั้งหมดมันมี 3 ขั้นตอน เมื่อเตรียมการแล้ว , ได้กำไรเรียบร้อยแล้ว , ขั้นตอนสุดท้ายคือนำเงินกลับเข้ากระเป๋า ทุกท่านจินตนาการว่าพวกที่ Short Sale ไปแล้วเขาอยากได้กำไรสุทธิ เขาอย่างไร ? แล้วคิดการ Short Sale เป็นกระบุงที่ผ่านมาตลอดเวลา จะสามารถ Cover ภายในวันเดียวหมดหรือไม่ ! โดยตามปกติแล้ว เขาจะต้องอาศัยช่วงเวลาที่นักลงทุนขวัญหนีดีฟ่อ ยังกล้า ๆ กลัว ๆ กับสภาวะแบบนี้ค่อย ๆ ซื้อกลับคืนไป แต่หากถ้าทุกคนมีสติ ไม่ขายทิ้งก็เป็นเรื่องที่ยากที่พวกเขาจะซื้อคืน และยังไงเงื่อนไขที่พวกเขาจะต้องซื้อคืนก็ต้องทำและนี่คือเหตุผลที่เราคิดว่าตลาดรอบนี้ผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว

“ดังนั้นหากใครที่อ่านมาถึงตรงนี้ ขอให้ทุกท่านช่วยโหวตและแชร์กระทู้นี้ให้รายย่อยรับรู้ข้อมูลทั่วกัน และผนึกกำลังกันไม่ขายหุ้นและซื้อหุ้นดี ๆ เก็บเอาไว้เพื่อไม่ให้ตลาดหุ้นลงไปมากกว่านี้ และทำให้กลุ่มคนที่ Short Sale ไว้ต้องซื้อกลับในราคาที่แพง”

 

เหตุการณ์ครั้งนี้เคยเกิดขึ้นแค่ครั้งเดียวใช่หรือไม่ ?

นี้ไม่ใช่ครั้งแรกที่ตลาดปรับลดลงจาก Block Trade โดยพวกท่านสามารถย้อนกลับไปดูข้อมูลย้อนหลัง 2 ปีก่อนได้ ดังนี้

รูปแสดงความสัมพันธ์ระหว่างการเคลื่อนไหวของดัชนีหุ้นไทยกับสถานะคงค้าง (Open Interest)

จากกราฟเป็นความสัมพันธ์ระหว่างค่าราคาหุ้นกับสถานะคงค้าง โดยจะพบว่าในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา ทุกรอบที่ตลาดหุ้นฟอร์มตัวขึ้นมา สถานะคงค้าง (OI) จะปรับตัวขึ้นตามมาด้วยเสมอ จึงอนุมานได้ว่าการขึ้นของหุ้นแต่ละรอบนั้นมีแรงซื้อจาก Block Trade เป็นตัวหนุนนำขึ้น และเมื่อ OI สะสม Block Trade มาถึงระดับนึงประมาณ 3.5-4 ล้านสัญญา ก็จะมีแรงขายออกถล่มเพื่อให้คนกลุ่มนี้ได้ถูก Force sell และสร้างความเสียหายให้กับตลาด จากนั้นพอเรื่องเงียบลงไป ก็จะมีคนกลุ่มเข้า (หรือกลุ่มเดิม) หาเงินเข้าเพื่อซื้อ Block Trade และถล่มลงอีกครั้ง โดยเฉลี่ยต่อรอบจะอยู่ประมาณ 30% ที่ถูก Force sell แต่รอบนี้หนักกว่ารอบอื่น เพราะหายไปถึง 50% และหากถ้าเราย้อนหลังไปในช่วงปี 57-59 ก็จะเกิดเหตุการณ์ที่เหมือนกัน

แล้วพวกท่านคิดว่าในอนาคตจะเกิดเหตุการณ์เหล่านี้อีกหรือไม่ ? เม่าแพนิค

เราขอยืนยันว่าเรื่องแบบนี้จะต้องเกิดขึ้นต่อไปในอนาคตอย่างแน่นอน เพราะนี้คือเกมการเงินที่ทุกคนต่างทำทุกอย่างเพื่อให้ได้เงิน และตราบใดที่ตลาดหุ้นปรับตัวเพิ่มขึ้น เครื่องมือเหล่านี้ (Block Trade) ย่อมถูกใช้งาน และถึงจุดจุดหนึ่งที่เรื่องราวเหล่านี้เลือนหายไป หรือคนหน้าใหม่เข้ามา ก็จะมีกลุ่มคนที่ใช้ความเปราะบางของเรื่องเหล่านี้มาฉวยโอกาสในการทำกำไร โดยฉากสุดท้ายก็จบแบบเดิมๆแบบที่เรามาเล่าให้ฟัง ดังนั้นแล้ว ปัจจุบันนักลงทุนบางกลุ่มเขาไม่ได้คาดหวังให้ตลาดหุ้นต้องกลับไปเล่นที่ระดับ 200-300 จุดเพื่อซื้อกลับขึ้นมารอเวลารวยเหมือนอย่างในอดีต เพราะเขาอาศัยองค์ความรู้สมัยใหม่มาทำกำไรแทนที่ และนี่คือเหตุผลที่พวกเราทุกคนจำเป็นต้องฉลาดขึ้น ต้องเข้าใจทุกอย่างให้มากขึ้น เพราะเราไม่สามารถคาดหวังให้ใครมาเป็น Hero ช่วยเหลือพวกเราได้ โดยมาตรการต่าง ๆ ที่ออกมานั้นก็เป็นการแก้ปัญหาที่ปลายเหตุไม่ว่าจะเป็นการห้าม Short Sale ในช่วงนี้ ทั้งที่พวกเขา Short กันมาเป็นปี ๆ แล้ว หรือการเพิ่ม Margin ในช่วงนี้ ที่เป็นเพียงการเร่งให้นักลงทุนถูกบีบให้โดน Force Close ง่ายขึ้น

สุดท้ายนี้ พวกเราเองก็ไม่รู้ว่ามุมมองของเราจะถูกต้องหรือไม่ แต่อย่างน้อยเราก็ตั้งใจที่จะออกมาเผยแพร่ความรู้ให้กับนักลงทุน โดยหวังว่าคงจะเป็นประโยชน์กับใครสักคน และหากใครที่คิดว่าสิ่งที่เราแชร์นั้นเป็นประโยชน์พวกท่านสามารถให้กำลังใจและโหวต+แชร์กระทู้ของพวกเราได้ โดยพวกเรามีเป้าหมายในการแชร์ความรู้ในเรื่องที่ตั้งใจศึกษาข้อมูล (TFEX) ให้มากที่สุด และรวบรวมนักลงทุนสร้าง TFEX Society ที่แบ่งปันข้อมูลกัน ช่วยเหลือกันและพากันต่อรองผลประโยชน์ต่าง ๆ ให้ได้มากที่สุด หากใครที่มีแนวคิดคล้ายกันสามารถมาจอยกันได้ที่ Line Square และก่อนจากกันไป อย่างที่พวกเราเคยสัญญากันไว้ว่าในปีนี้ เราจะพาทุกท่านเข้าสู่เรื่องของ AI และหุ่นยนต์เทรด เราจึงมีเทคโนโลยีใหม่ ๆ ให้กับทุกท่านด้วย โปรแกรม One Click Futures ที่จะช่วยให้พวกท่านส่งคำสั่งได้รวดเร็วยิ่งขึ้น ดังคลิป

https://youtu.be/eF-TkQkjlvI

โดยเราจะแจกฟรี ! ให้กับนักลงทุนในตลาด TFEX ทุกท่านที่จอยเข้ามาในกลุ่มของเราในเดือนหน้า สำหรับวันนี้เราขอบคุณทุกท่านที่ติดตามผลงานบทความของเรา และเราจะหาความรู้ใหม่ ๆ มาฝากทุกท่านอย่างต่อเนื่องในอนาคต ขอบคุณครับ