หลังจากผ่านเรื่องของ Block Trade หวังว่าความรู้ที่ผมนำมาแชร์ คงทำให้พวกท่านได้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงไปของตลาดหุ้นไทย แต่ยังไม่จบเพียงเท่านี้เรามาต่อกันที่สาเหตุประการที่ 2 ที่เข้ามามีผลกระทบต่อตลาดหุ้นไทยกันดีกว่าและผมคิดว่าสาเหตุนี้ก็เป็นสาเหตุที่เขย่าวงการตลาดหุ้นไทยไม่แพ้กัน โดยต้องขอออกตัวก่อนว่าผมเองก็เป็น 1 ในคนที่สนใจและกำลังพัฒนาในเรื่องนี้อยู่และอยากเชิญทุกคนมาพัฒนาร่วมกัน จึงขออนุญาตให้ความรู้และใส่ประสบการณ์ส่วนตัวในเนื้อหานี้ หากมีข้อผิดพลาดหรือไม่ตรงกับมุมมองของท่านใดก็ขออภัยไว้ล่วงหน้าด้วยครับ
ประการที่ 2 การเข้ามาของ Robot Trade & System Trade
ต้องยอมรับว่าการเข้ามาของเทคโนโลยีถือเป็นเรื่องสำคัญกับทุกธุรกิจ ไม่เว้นแม้แต่ธุรกิจหลักทรัพย์ที่ตอนนี้แทบทุก Broker ต่างมุ่งเน้นธีมธุรกิจไปในแบบออนไลน์พร้อมทั้งอำนวยความสะดวกให้นักลงทุนในเรื่องการส่งเสริมการเทรดออนไลน์แทบทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นโปรแกรมช่วยส่งคำสั่งที่พัฒนาไปจากเดิมตามสไตล์ของแต่ละ Broker รวมถึงเพิ่มฟังก์ชันต่าง ๆ ทั้งการแจ้งเตือน การวิเคราะห์ผลลัพธ์ เพื่อให้นักลงทุนท่วงทันเหตุการณ์สำคัญของตลาดและสามารถนำไปเป็นข้อมูลเพื่อช่วยยกระดับการเทรดของตนเองในอนาคต แต่อย่างไรก็ตามผมคิดว่าเทคโนโลยีที่เข้ามาและมีผลกระทบต่อตลาดมากที่สุดคงหนีไม่พ้นเรื่องของ “หุ่นยนต์เทรด”
การเข้ามาของหุ่นยนต์ส่งคำสั่งอัตโนมัติ
หุ่นยนต์เทรด หมายถึง โปรแกรมที่ช่วยส่งคำสั่งซื้อขายอัตโนมัติ โดยแค่นักลงทุนใส่แบบแผนหรือ logic ลงไป โปรแกรมจะทำการส่งคำสั่งซื้อ-ขายทันทีเมื่อข้อมูลหรือราคาเข้าสู่เงื่อนไขที่กำหนด ช่วยให้นักลงทุนไม่ลังเลและไม่ใช้อารมณ์ในการซื้อขายและไม่จำเป็นต้องเฝ้าหน้าจอในการลงทุน ซึ่งหุ่นยนต์เทรดอาจจะถูกออกแบบให้อยู่ในรูปโปรแกรมที่ทาง Broker จัดทำขึ้นหรือนำเข้ามาจากต่างประเทศ หรืออาจจะอยู่ในรูปการใช้โปรแกรมอื่น ๆ สร้างขึ้นมาตามความสามารถและความถนัดของนักลงทุนแต่ละคนหรือแต่ละกลุ่ม
ทุกท่านคงทราบกันดีอยู่แล้วว่าการลงทุนทุกวันนี้มีสัดส่วนของหุ่นยนต์ปะปนอยู่พอสมควร แต่หลายคนคงคิดว่าหุ่นยนต์นั้นเป็นเรื่องที่รายใหญ่ใช้เอาเปรียบรายย่อย รายย่อยไม่สามารถเข้าถึงเรื่องเหล่านี้ได้ แล้วคำถามคือเป็นเพราะอะไร เป็นเพราะผู้คุมกฎสั่งห้ามไม่ให้รายย่อยใช้ ? เปล่าเลยครับ ไม่ใช่แบบนั้นเลย เป็นเพราะพวกท่านยังไม่มีความรู้อย่างเพียงพอในเรื่องของการพัฒนาและนำพาตัวเองเข้าสู่การใช้หุ่นยนต์เทรดต่างหาก และบางคนก็มัวแต่รอให้ Broker นำเสนอสิ่งเหล่านั้นให้ ฟังดูแล้วอาจจะเกินจริง แต่พวกท่านเชื่อไหมว่าในทุกวันนี้มีรายย่อยหลายคนที่สามารถพัฒนาตัวเองไปใช้หรือใกล้เคียงกับการใช้หุ่นยนต์เทรดกันแล้ว เพราะฉะนั้นผมขอให้ทุกคนเปิดกว้างและพร้อมที่จะเรียนรู้เรื่องหุ่นยนต์เทรดไปพร้อม ๆ กันผ่านบทความนี้
นักลงทุนที่มีหุ่นยนต์เทรดจะกำไรในการลงทุน ?
นี่เป็นอีก 1 ตัวอย่างของการเข้าใจแบบผิด ๆ ในตลาดรายย่อยหลายคนเข้าใจว่าการครอบครองหุ่นยนต์เทรดจะทำให้พวกเขาสามารถเปลี่ยนตัวเองกลายเป็นผู้ประสบความสำเร็จในการลงทุนได้ จึงพยายามแสวงหาหุ่นยนต์เพื่อนำมาใช้ พร้อมกล่าวโทษว่าพวกที่ใช้หุ่นยนต์เป็นพวกเอารัดเอาเปรียบ โดยหารู้ไม่ว่าแท้จริงแล้วนักลงทุนที่ใช้หุ่นยนต์นั้นมีคนที่ไม่ประสบความสำเร็จมากกว่าคนประสบความสำเร็จอยู่หลายเท่า เพียงแต่เขาเหล่านั้นไม่ได้มีจุดยืนที่ดูดีและเสียงไม่ดังเท่าคนที่ประสบความสำเร็จในการออกมาป่าวประกาศให้สังคมได้รับรู้ ซึ่งตัวอย่างพวกท่านสามารถเห็นได้จากตลาด FOREX ที่ทุกวันนี้นักลงทุนเกินกว่า 50% ใช้หุ่นยนต์เทรดกันแทบทั้งสิ้น แต่ก็มีหลายคนที่หมดตัวให้กับตลาดนี้ พวกท่านคงสงสัยใช่ไหมว่ามันเกิดอะไรขึ้น ? ดังนั้นเรามาทำความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับเรื่องหุ่นยนต์เทรดกันดีกว่า
อยากใช้หุ่นยนต์ต้องเริ่มต้นจากการเข้าใจการลงทุนอย่างเป็นระบบ (System Trade)
ผมเป็นคนนึงที่ชอบอ่านกระทู้ของทั้งบุคคลที่ประสบความสำเร็จในการลงทุนและไม่ประสบความสำเร็จ โดยขอชื่นชมเขาเหล่านั้นที่กล้าจะเปิดอกแชร์เรื่องราวความผิดพลาดของตนเองให้ทุกคนได้รับรู้ และสังเกตว่าแทบทุกกระทู้มักมีคนแนะนำว่าหากอยากประสบความสำเร็จในการลงทุนต้องมีระบบเทรด หรือแม้กระทั่งเทพสินธรคนดังก็ให้เครดิตกับเรื่องการมีระบบเทรดและหาเงินกินเหลาในตลาด TFEX ได้อย่างสม่ำเสมอ ในขณะที่บางคนยังไม่รู้แม้กระทั่งความหมายของระบบเทรด รู้แค่ว่าหากมีระบบเทรดก็สามารถทำให้เรากำไรได้อย่างคนอื่นเขา โดยไม่รู้ว่าเลยว่ากว่านักลงทุนคนนึงที่ใช้ระบบเทรดแล้วอยู่รอดและประสบความสำเร็จ เขาผ่านความล้มเหลวมาไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้งกับการใช้ระบบเทรด
แล้วอะไร คือระบบเทรด ?
หากพูดถึงเรื่องระบบเทรด ผมเองก็ไม่รู้ว่าถ้าพวกท่านเดินไปถามคน 10 คนจะพูดเหมือนกันสักคนหรือไม่ แต่ถ้าพวกท่านเดินมาถามผม ผมคงให้ความหมายว่า เป็นการที่เราสร้างแบบแผนหรือกำหนด Logic ในการลงทุนไว้อย่างชัดเจน เพื่อหาจุดยึดเหนี่ยวในการตัดสินซื้อขาย เพื่อไม่ให้เราหวั่นไหวต่อปัจจัยอื่น ๆ ที่ก่อให้เกิด Bias ในการตัดสินใจ โดยระบบเทรดจะต้องบอกจุดเข้าและจุดออกที่เห็นได้ชัดเจนและมีความเป็นรูปธรรม ส่วนใหญ่มักจะใช้เครื่องมือทางเทคนิคเนื่องจากมีคุณสมบัติ คือเห็นจุดตัดสินใจที่แน่ชัด เช่น การทะลุแนวรับ-แนวต้านของราคา การตัดขึ้น-ลงของ Indicator ต่างจากข้อมูลพื้นฐานหรือข่าวที่บางครั้งอาจต้องใช้ความรู้และประสบการณ์มาวิเคราะห์เพิ่มเติมก่อนแปรเปลี่ยนเป็นการตัดสินใจซื้อขาย และอาจก่อให้เกิดการใช้ความรู้สึกและอารมณ์มามีส่วนร่วมในการตัดสินใจในแต่ละครั้ง
มาถึงตรงนี้ผมเชื่อว่าพวกท่านที่ใช้เทคนิคในการลงทุนคงเริ่มรู้สึกว่าตัวเองก็เป็น 1 ในคนมีระบบเทรด แต่อย่างไรก็ตามผมอยากเตือนให้ทุกคนระวังไว้สักนิด เพราะไม่ใช่นักเทคนิคทุกคนที่จะเป็นนักลงทุนที่ใช้ระบบเทรด แม้ว่าพวกเขาจะใช้เครื่องมือทางเทคนิคเหมือนกัน แต่หากถ้าใครยังใส่ความคิดวิเคราะห์เพิ่มเติมทุกครั้งก่อนตัดสินใจจะซื้อหรือจะขาย ดังนั้นอยากให้พวกท่านลองสังเกตตัวเองดูว่า ในทุกครั้งที่เครื่องมือทางเทคนิคของพวกท่านส่งสัญญาณซื้อขาย พวกท่านตัดสินใจทำตามทุกครั้งหรือแต่ละครั้งต้องมานั่งดูปัจจัยอื่น ๆ แล้วค่อยตัดสินใจเองอีกที หากถ้าท่านยังเป็นอย่างหลัง แสดงว่าท่านยังไม่ได้ใช้การตัดสินใจอย่างเป็นระบบ ทำไมผมถึงพูดแบบนั้น ? ลองคิดดูว่านะครับ ว่าหากวันนึงมีหุ่นยนต์เข้ามา หุ่นยนต์เขาไม่รู้หรอกว่า ครั้งใดควรเทรดครั้งใดไม่ควรเทรดแบบที่ท่านกำลังทำ ดังนั้นผมอยากให้ท่านทำความเข้าใจอีกครั้งว่า ระบบเทรดที่ใช้จะต้องเป็นตรรกะที่ชัดเจนและต้องทำตามทุกครั้งโดยปราศจากการใช้สมอง(อารมณ์)ในการวิเคราะห์ขั้นสุดท้ายก่อนตัดสินใจซื้อขาย และนี้คงเป็นตลกร้ายที่นักลงทุนหลายคนบอกกับคนอื่นว่าตัวเองเป็นนักลงทุนที่ใช้ระบบเทรด แต่สุดท้ายไม่ทำตามระบบแล้วพอพลาดเสียหายกลับโทษว่าระบบเทรดที่ใช้อยู่ไม่ดี
ระบบเทรด V.S. ระบบเทรดที่ดี
หลังจากเข้าใจเรื่องระบบเทรดแล้ว นักลงทุนบางคนคงรู้สึกพึงพอใจที่ตนเองมีระบบเทรดและกำลังใช้ระบบเทรดอย่างถูกต้องอยู่ หรือบางคนเองก็รู้สึกคล้อยตามและเห็นด้วยว่าการมีระบบเทรดเป็นเรื่องที่น่าสนใจ จึงลองพยายามหามาใช้บ้าง โดยทำการเปิดกราฟแล้วลองหยิบ Indicator มาสักตัวหนึ่ง เช่น moving average 2 เส้นมาทำการตัดกัน จากนั้นทำการเฝ้าดูและซื้อขายตามทุกครั้งที่มีสัญญาณนี้เกิดขึ้น ซึ่งผมเองก็ขอแสดงความก็ยินดีกับทุกคนด้วย เพราะพวกท่านกำลังเป็นนักลงทุนที่ลงทุนด้วยระบบเทรดเป็นที่เรียบร้อย … แต่ไม่จบเพียงเท่านี้ ยังมีคำถามที่พวกท่านต้องหาคำตอบกันต่อ ว่าทำไมนักลงทุนบางท่านที่เป็นระบบเทรดแล้วถึงยังไม่ประสบความสำเร็จในการลงทุน ? นั้นเป็นเพราะแม้ว่าพวกท่านจะใช้ระบบเทรดแล้วก็จริง แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าระบบที่ท่านใช้จะสามารถทำกำไรในตลาดได้ ลองคิดดูนะครับ หากถ้าเรามีวินัยในการซื้อขายอย่างเคร่งครัด แต่ทุกครั้งที่ซื้อขายขาดประสิทธิภาพ ผลลัพธ์ที่ได้ก็คงหนีไม่พ้นการขาดทุนอย่างแน่นอน นั้นแหละคือคำถามที่ท่านต้องถามตัวเองต่อ ว่าทุกวันนี้ระบบเทรดที่ท่านใช้อยู่ดีจริงไหม ? ดังนั้นหากใครอยากประสบความสำเร็จด้านการใช้หุ่นยนต์ ก้าวแรกของคนทุกคนต้องหาระบบเทรดที่ดีให้ได้ก่อน
แล้วระบบเทรดที่ดีหาได้อย่างไร ?
การหาระบบเทรดที่ดีถือเป็นหัวใจสำคัญที่นักลงทุนสายระบบทุกคนไม่ว่าจะเป็นมือสมัครเล่นหรือมืออาชีพต้องการแสวงหา และผมคิดว่าใครที่สามารถผ่านบททดสอบในจุดนี้ได้ พวกท่านจะกลายเป็นผู้ชนะในตลาดหุ้น โดยไม่ต้องพึ่งพา Robot เสียเลยด้วยซ้ำ ผมอยากให้ทุกคนคิดตามกันมานะครับ ว่าพวกท่านจะหาระบบเทรดที่ดีได้อย่างไร ? แน่นอนว่าสิ่งสำคัญคือต้องเป็น logic ที่ชนะตลาดในระยะยาว หากใครกำลังคิดแบบนี้อยู่ผมขอบอกว่าพวกท่านกำลังเดินมาถูกทางแล้ว แต่พวกท่านจะทำอย่างไรในการทดสอบ ? คงมีคนจำนวนไม่น้อยที่เคยย้อนกราฟกลับไปดูเทคนิคของตนเองและจดบันทึกผลลัพธ์ที่ผ่านมาของ Indicator ที่ตนเองใช้ ซึ่งสิ่งที่พวกท่านกำลังถือเป็นขั้นตอนที่สำคัญ ที่เราเรียกว่าการทดสอบอดีตหรือ Back Test ดังนั้นลองมาดูรูปแบบรวมถึงวิธีการ Back test แล้วท่านจะได้เริ่มรับรู้ว่าพวกโปรแกรมสำเร็จรูปที่ใช้เฉพาะทางนั้นมีความได้เปรียบนักลงทุนทั่วไปอยู่มากน้อยแค่ไหน
*ในบทความนี้ขอลงเฉพาะพื้นฐานนะครับเพื่อให้ทุกคนเข้าใจอย่างทั่วถึง โดยไม่ได้กล่าวถึงการตั้งสมมุติฐานเชิงลึกและทดสอบแบบละเอียดแต่อย่างใด
รูปแสดงขั้นตอนการ Back test ด้วยการจดบันทึกลงในโปรแกรม Excel
จากรูปจะเห็นว่านี่คือวิธี Back test ที่นักลงทุนหลายคนกำลังทำอยู่ ด้วยการนำผลลัพธ์ใส่ลงไปในโปรแกรมพื้นฐานอย่าง Excel พร้อมผูกสูตรต่าง ๆ เพื่อให้ง่ายต่อการคำนวณและประมวลผล ซึ่งบางคนก็อาจใช้วิธีที่ย้อนหลังไปกว่านั้นคือจดบันทึกลงในกระดาษ และนั้นแหละคือวิธีที่ผมใช้เมื่อ 8 ปีก่อน โดยวางเป้าหมายว่าจะหาระบบเทรดที่ดีภายในเวลาอันสั้นสุด สักประมาณ 3 หรือ 6 เดือน ซึ่งการทดสอบแต่ละ Logic ผ่านไปด้วยความยากลำบาก ยิ่งทดสอบนานปีหรือเงื่อนไขซับซ้อนเท่าไรยิ่งใช้เวลาที่นานขึ้น และผมก็ใช้เวลาอยู่กับมันมาเป็นเวลา 2 ปี โดยมีความเชื่อที่ว่าหากใช้โปรแกรมอื่น ๆ หรือเรียนรู้เรื่องเขียนโปรแกรมเพิ่มไปก็ไม่น่าที่ทำให้การประมวลผลนั้นดีขึ้นสักเท่าไหร่ ทำให้ตัวเองเข้าสู่ comfort zone เป็นที่เรียบร้อย ในตอนนั้นผมกำลังปิดกั้นตัวเองและกำลังดูถูกพวกเทคโนโลยีใหม่ ๆ และมันกลายเป็นเรื่องที่ผมทำผิดพลาด ซึ่งในวันนี้ผมไม่อยากให้ใครต้องผิดพลาดเหมือนผมอีกจึงอยากออกมาแชร์ให้กับทุกท่านได้รับรู้
การเข้ามาของโปรแกรมสำเร็จรูปทำให้ทุกอย่างเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง
ผมต้องขอบคุณทีมงานของทางบริษัทหลักทรัพย์ที่หนึ่งที่ทำให้ผมได้เรียนรู้และเปิดใจกับโปรแกรมสำเร็จรูปที่ชื่อว่า AMIBROKER ที่ทำให้ผมได้เปิดมุมมองใหม่ ๆ โดยผมใช้เวลาศึกษาแค่ 2 อาทิตย์ และทำให้ประสิทธิภาพการค้นหาระบบเทรดของผมเพิ่มขึ้นอย่างคาดไม่ถึง
รูปแสดงขั้นตอนการ Back test ด้วยการเขียนโปรแกรมผ่านโปรแกรม AMIBROKER
จากรูปจะเห็นว่าเราใส่โค้ดลงไปแค่ไม่เกิน 10 บรรทัด (กรอบด้านขวา) โดยใช้เวลาไม่กี่วินาที แต่มันสามารถประมวลผลได้เทียบเท่ากับ EXCEL ในรูปก่อนที่ผมทำหลายนาที (สังเกตค่าจากกรอบซ้ายมือเปรียบเทียบกับรูปก่อนหน้าจะพบว่าค่าตรงกัน) และยังได้ผลลัพธ์ที่มากขึ้นไปจนถึงข้อมูลในปัจจุบันเลยด้วย ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าตลกนะครับ ผมใช้เวลากับมันแค่ 2 อาทิตย์ สามารถ Cover ข้อมูลที่ผมเคยทำไว้ใน Excel เกือบ 2 ปี และนี่แหละครับ คือสิ่งที่ผมอยากให้รายย่อยทุกคนได้เรียนรู้ว่ามันมาถึงจุดที่เทคโนโลยีจะเข้ามามีบทบาทสำคัญ โดยเฉพาะเรื่อง Data science เหล่านี้ เพราะในปัจจุบันพวกนักการเงินที่เก่ง ๆ และมี Logic ที่ดีมักขาดเครื่องมือประมวลผลที่มีประสิทธิภาพ ส่วน Programmer ที่เก่งด้านการเขียนโปรแกรมก็มักขาดเรื่อง Logic ทางการเงินที่จะนำมาประมวลผล (จึงก่อให้เกิดศาสตร์ใหม่อย่างพวก Financial Engineering เข้ามามีบทบาทสำคัญในตลาดหุ้น)
นอกจากนี้ตัวโปรแกรมยังมีลูกเล่นของโปรแกรมและการเครื่องมือช่วยอำนวยความสะดวกในการทดสอบเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่มีประสิทธิภาพดีขึ้นอีกมากมาย (ถ้ามีคนสนใจจะทำบทความให้ความรู้เพิ่มนะครับ) และยังสามารถสร้างสัญญาณซื้อขายแบบ real time โดยสามารถดูได้จากภาพด้านล่าง
รูปแสดงการส่งสัญญาณซื้อ-ขายแบบ real time
จากรูปจะเห็นว่าเพียงแค่เราใส่ Code เพิ่มเข้าไป 2 บรรทัด โปรแกรมจะโชว์สัญญาณซื้อขายขึ้นมาทันที เพียงเท่านี้ไม่ว่าพวกท่านจะใช้ Indicator หรือเครื่องมือการซื้อขายที่มองด้วยตาเปล่าได้ยากเพียงใด เช่น Pattern ราคาต่าง ๆ , การเกิดสัญญาณ Divergence , หรือรูปแบบอื่น ๆ ที่ท่านคิดขึ้นมาเองโดยเฉพาะ ก็ไม่เป็นปัญหาอีกต่อไปเพราะสัญญาณก็จะปรากฏขึ้นทันทีเมื่อเข้าเงื่อนไข และยังสามารถทำให้ Pop up แจ้งเตือนได้อีกด้วย
นอกจากนี้หากท่านเรียนรู้เพิ่มเติมเทคโนโลยียังไปได้ไกลมากขึ้นกว่านั้น เช่น การแจ้งเตือนผ่าน Application ยอดนิยมอย่าง Line เพื่อให้ตัวท่านและกลุ่มพวกท่านได้รับรู้โดยไม่พลาดทุกการเคลื่อนไหวของตลาด ทั้งการเคลื่อนไหวหุ้นรายตัวแบบ Real Time เมื่อมีการเคลื่อนไหวที่มีนัยยะสำคัญ เพียงเท่านี้พวกท่านคงพอนึกออกกันแล้วใช่ไหมครับ ? ถ้าเปลี่ยนจากส่งไลน์กลายเป็นส่งคำสั่งซื้อขายแทน ผลลัพธ์จะเป็นอย่างไร ซึ่งนี้คือความได้เปรียบของคนที่มีความรู้ด้านเทคโนโลยีใหม่ ๆ และเป็นสิ่งที่ทำให้นักลงทุนใช้เป็นเครื่องมือในการใช้พัฒนาและเอาชนะตลาดในแบบเดิม ๆ โดยเฉพาะในตลาด TFEX ที่ทุกนาทีมีค่าและทุกการตัดสินใจที่พลาดไมได้ ดังนั้นเรื่องเหล่านี้ถือเป็นเรื่องที่มีบทบาทและส่งผลต่อตลาดการลงทุนไทยเป็นอย่างมาก
รูปแสดงการแจ้งเตือน Line ของการเคลื่อนไหวหุ้นใหญ่ตามที่เราได้กำหนดเอาไว้
เห็นไหมครับ ความสำคัญของเรื่องเทคโนโลยีหรือการเข้ามาของโปรแกรมใหม่ ๆ ช่วยให้พวกเราสามารถพัฒนาการลงทุนของตัวเองไปในแบบนี้หลายคนคาดไม่ถึง และช่วยให้นักลงทุนเพิ่มประสิทธิภาพในการลงทุนได้อีกเยอะ แต่หลายคนคงคิดว่าอุปสรรคสำคัญ คือเรื่องการเรียนรู้ทักษะใหม่ ๆ โดยเฉพาะทักษะทางคอมพิวเตอร์อย่างการเขียนโปรแกรม ผมยอมรับว่าใช่ครับ แต่ขอให้สบายใจและให้รับรู้ไว้ว่าคนที่กำลังทำบทความให้ท่านอ่านอยู่นี้เอง ก็ไม่ได้เรียนจบทางสายคอมพิวเตอร์และในตอนเริ่มต้นก็มีความรู้ด้านการเขียนโปรแกรมที่ทำได้แค่ +/- เลขใน Excel เท่านั้น เพียงแต่โปรแกรมสำเร็จรูปบางโปรแกรมเขาเข้าใจและอำนวยความสะดวกในเรื่องพวกนี้ไว้แล้ว ดังนั้นเพียงแค่ทุกคนตั้งใจเรียนรู้และพัฒนาตัวเองก็สามารถเข้าใจมันได้ และผมเชื่อว่าสมัยนี้ Broker ต่าง ๆ เขามีจัดคอร์สฟรีสำหรับเรื่องพวกนี้กันหมดแล้ว เพียงแต่พวกท่านแค่ไม่ทราบว่าคอร์สเหล่านั้นคืออะไร (ผมเองก็เริ่มต้นจากคอร์สฟรีทั้งหมดจาก Broker เช่นเดียวกัน)
เอาละครับมาถึงและข้อมูลในส่วนสุดท้ายที่ผมอยากให้พวกท่านได้รับรู้ เพื่อยืนยันว่าทุกวันนี้เรื่องขององค์ความรู้เรื่อง System และ Robot Trade มีบทบาทและส่งผลต่อตัวพวกท่านแค่ไหน เราลองมาพิสูจน์กันผ่านข้อมูลต่อไปนี้
อวสาน Trend Following ?
หากย้อนกลับไป 5 ปีก่อน ตอนเริ่มต้นของกระแสเรื่องระบบเทรดในช่วงแรก การใช้ระบบเทรดในการลงทุนทุกอย่างดูง่ายไปหมด เพียงแค่นักลงทุนทำการลงทุนตามแนวโน้ม โดยใช้เพียง Indicator ธรรมดามาทั่วไปมาตัดกันก็สามารถทำกำไรในตลาดได้อย่างมหาศาล โดยในช่วงนั้นไม่ว่าท่านจะไปสัมมนาที่ใด ต่างก็ยกเรื่อง Moving Average ตัดกันก็ทำกำไรได้กันทั้งนั้น คำถามที่น่าสนใจคือ แล้วปัจจุบันคำพูดเหล่านั้นหายไปไหน ? เราลองมาพิสูจน์กันดีกว่า
จากรูปพวกท่านจะเห็นว่า ผมกำลังทำการทดสอบการซื้อขายโดยใช้ Exponential Moving Average (EMA) 2 เส้นมาตัดกันเพื่อสร้างสัญญาณการซื้อขาย และเพื่อป้องกันการ Bias จากข้อมูล เราจะใช้ค่ามาตรฐานในการทดสอบเส้นสั้นใช้ค่าเฉลี่ย 5 แท่ง ส่วนเส้นยาวใช้ค่าเฉลี่ย 25 แท่ง (สามารถอ่านได้ดังกรอบที่วงสูตรไว้) และใช้ดัชนี SET50 Index Futures เป็นฐานข้อมูลใน Time Flame ในราย 60 นาที เอาละครับ สิ่งที่ผมจะพิสูจน์ให้พวกท่านรับรู้คือ เราจะแยกการหาผลลัพธ์เป็น 2 ช่วง
ช่วงที่ 1 ช่วงกระแสระบบเทรดเข้ามาใหม่ ๆ ตั้งแต่ พ.ศ. 2556-2558 เป็นเวลา 3 ปี
ช่วงที่ 2 ช่วงหลังจากที่นักลงทุนเริ่มพัฒนาเรื่องเหล่านี้มากขึ้น ตั้งแต่ พ.ศ. 2559-ปัจจุบัน เป็นเวลา 2.5 ปี
เรามาดูผลลัพธ์กันเลยดีกว่า
จากรูปด้านซ้ายมือ เป็นผลลัพธ์ในช่วงที่ 1 และขวามือจะเป็นผลลัพธ์ในช่วงที่ 2 ทุกคนลองสังเกตตัวเลขด้านล่างที่ผมตีกรอบไว้ นั้นคือกำไรสะสมทั้งหมดที่เกิดขึ้น สังเกตว่าในช่วงเวลาที่ 1 ได้กำไรถึง 336 จุดในช่วงเวลา 3 ปี ตกเฉลี่ยปีละประมาณ 100 กว่าจุด ถือเป็นกำไรที่เยอะพอสมควรเมื่อ x กับตัวทวีคูณที่ 200 บาท/สัญญา แต่หากท่านนำมาใช้ต่อในช่วงเวลาที่ 2 ท่านจะได้ผลลัพธ์ทางด้านขวามือ คือขาดทุน 140 จุดในช่วงเวลา 2 ปีครึ่ง จากกำไรอย่างง่ายดายกลับกลายเป็นขาดทุนจนทำให้สูญเสียเงินในตลาด ผมคิดว่าหลายคนคงอึ้งกับผลลัพธ์ว่าทำไมจากเดิมที่ Indicator ตัวนึงสามารถทำกำไรในตลาดได้อย่างไม่ยากเย็นแต่ในปัจจุบันผลลัพธ์พลิกผันไปทิศทางตรงข้าม ทำใจยากที่จะเชื่อใช่ไหมครับ แต่ตัวเลขไม่เคยโกหกใคร แปลว่าจากนี้ไปคนที่ลงทุนตามแนวโน้มจะไม่สามารถทำกำไรได้อีกต่อไปใช่หรือไม่ ?
เห็นไหมครับ นี้แหละเรื่องจริงในตลาด ที่ผมยืนยันกับทุกท่านว่าปัจจุบันโครงสร้างตลาดมันเปลี่ยนไปไม่เหมือนเดิมแล้ว (ผมเชื่อว่าพวกท่านก็รู้สึกเพียงแต่ไม่ได้พิสูจน์มันออกมาเท่านั้น) และการเลือกใช้เครื่องมือต่าง ๆ ที่ปัจจุบันไม่มีประสิทธิภาพ อาจทำท่านอาจจะตกเป็นเหยื่อของนักลงทุนสมัยใหม่ที่เขารู้เรื่องเหล่านี้และพร้อมจะคิดวิธีใหม่ ๆ เช่น การดักกิน Stop loss หรือเอาชนะตลาด Sideway มาทำให้กฎการลงทุนแบบเดิม ๆ อย่าง Trend Follow ทำให้การลงทุนไม่ได้ง่ายอย่างในอดีต ดังนั้นใครที่หยุดพัฒนาและตามหลังเขา 2-3 ปี พวกท่านจะกลายเป็นผู้โชคร้ายให้กับกลุ่มคนที่เขาใช้เทคโนโลยี+ความรู้ใหม่ ๆ โดยไม่สนใจว่าท่านจะเป็นหนึ่งคนที่ใช้ระบบเทรดหรือไม่ ส่วนคำเฉลยสำหรับคำถามเกี่ยวกับ Trend Follow คือผมไม่ได้หมายถึง Trend Follow จะทำกำไรต่อไปไม่ได้ เพียงแต่มันแค่ไม่ง่ายเหมือนเก่า และอยากเตือนสติทุกคนว่าเราต้องพัฒนามันขึ้นไปอีกขั้น ซึ่งนี้แหละครับคือการบ้านของพวกท่าน แต่ก็อยากจะพูดกับพวกท่านแบบแรง ๆ ว่าถ้าพวกท่านยังเข้าไม่ถึงเรื่องของเครื่องมือในปัจจุบัน พวกท่านก็จะทดสอบและปรับปรุงมันให้มีประสิทธิภาพขึ้นได้ยาก
จากข้อมูลทั้งหมด คงพอจะทำให้ทุกท่านได้เห็นภาพแล้วว่า หากในอนาคตอันใกล้ที่จะถึงนี้มีกลุ่มคนที่ใช้และพัฒนาเรื่องระบบเทรดในตลาดหุ้นไทยที่เพิ่มขึ้น มันจะส่งผลกระทบต่อการเปลี่ยนแปลงของราคายิ่งแตกต่างและผันผวนไปจากเดิม ด้วยความหวังดีผมคิดว่าถึงเวลาแล้วที่นักลงทุน ควรที่จะเริ่มศึกษาเรื่องพวกนี้ เพื่อปรับตัวและอยู่รอดในตลาด เนื่องจากคงปฏิเสธไม่ได้ว่าเรื่องเหล่านี้จะเข้ามาในตลาดหุ้นไทยอย่างเต็มรูปแบบ และแน่นอนว่าทุกอย่างคงไม่หยุดอยู่แค่ที่ผมกล่าว ยังมีเรื่อง AI ที่กำลังก้าวเข้ามารอพวกท่านอยู่ นักลงทุนทุกท่านควรมีความพร้อมที่จะเผชิญกับมันและใช้มันให้เป็นประโยชน์สำหรับการลงทุนของตัวเอง
มาต่อกันที่สาเหตุประการที่ 3 ที่เป็นอีกส่วนสำคัญที่ทำให้ตลาดการลงทุนไทยในทุกวันนี้เปลี่ยนไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งการผันผวนระหว่างวันที่มีให้เห็นมากขึ้นกว่าเดิม นอกจากนั้นยังเป็นเรื่องที่ส่งผลโดยตรงต่อประสิทธิภาพการลงทุนของนักลงทุน โดยเฉพาะคนที่ยังขาดโอกาสในการเข้าถึง จนทำให้พวกเขาเสียประโยชน์และไม่สามารถเอาชนะตลาดในระยะยาวได้ ซึ่ง 1 ในนั้นคือตัวผมในอดีต ผมจึงอยากถ่ายทอดให้ทุกคนได้รับรู้และนำพาโอกาสเหล่านั้นมาให้กับพวกท่าน
ประการที่ 3 สงครามค่าธรรมเนียม
แม้ว่า Broker แต่ละที่จะพยายามใช้กลยุทธ์การแข่งขันในการสร้างการบริการที่แตกต่างกับที่อื่น รวมไปถึงการคิดค้นนวัตกรรมและผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ เพื่อตอบสนองความต้องของนักลงทุน จึงทำให้เกิดสาเหตุ 2 เรื่องที่กล่าวไปก่อนหน้า แต่อย่างไรก็ตามคงปฏิเสธไม่ได้ว่า สิ่งที่นักลงทุนส่วนใหญ่อยากได้และต้องการมากที่สุดไม่แพ้ความสะดวกสบายหรือเครื่องมือใหม่ ๆ คือต้นทุนที่ถูกลง
การลดค่าธรรมเนียมถือเป็นเรื่องที่หาได้ยากยิ่งในอดีต
หากย้อนกลับไปเมื่อ 5 ปีก่อน ใครที่ลงทุนในตลาด TFEX ต่างทราบกันดีว่าเรื่องการลดค่าธรรมเนียมเป็นเรื่องที่แทบจะเป็นไปไม่ได้เลยสำหรับรายย่อย โดยผมเองก็เป็น 1 คนที่ต้องจำใจเทรดโดยเสียค่าค่าคอมมิชชันในอัตราที่สูง จนถึงขั้นที่ในทุกครั้งที่เปิดสถานะ มักจะมีความคิดขึ้นในหัวว่าเราสามารถนำเงินส่วนนี้ไปซื้ออาหารกลางวันดี ๆ ทานได้ 1 มื้อ (เมื่อก่อน SET50 Index Futures ยังเป็นสัญญาตัวใหญ่ที่ตัวทวีคูณจุดละ 1000 บาท มีค่าธรรมเนียมสุทธิในการเทรดออนไลน์ครั้งละ 438.7 บาท) ยังไม่นับขาปิดสถานะหรือการเทรดในจำนวนหลายสัญญาที่เผลอ ๆ รวมกันแล้วอาจเลี้ยงเพื่อนได้ทั้งกลุ่ม ซึ่งนั้นคือเรื่องสำคัญที่ทำให้ช่วงเริ่มต้นการพยายามเทรด TFEX ของผมไร้ประสิทธิภาพ จนเรียกได้ว่ากำไรมาเท่าไหร่ต้องคืนให้กับค่าธรรมเนียมแทบทั้งหมด แน่นอนว่าไม่ใช่แค่ผมคนเดียวที่เผชิญกับปัญหานั้น นักลงทุนแทบทุกท่านเองก็ต้องเผชิญกับปัญหานี้อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้เช่นกัน และมันทำให้ใครที่ต้องการเก็งกำไรระยะสั้นเพื่อเอาชนะตลาด TFEX ต่างต้องได้รับกับความผิดหวังไปตาม ๆ กัน ทั้งที่ดูเหมือนกลยุทธ์ของเขาสามารถสร้างกำไรได้ แต่มันกลับไม่พอที่จะแซงค่าธรรมเนียมจนทำให้เงินในพอร์ตเพิ่มขึ้นได้ สุดท้ายกลายเป็นการถูกบีบให้ทิ้งความพยายามจนต้องเปลี่ยนกลยุทธ์ไปลงทุนในลักษณะถือยาวเป็นรอบ ๆ อย่าง Trend Follow แทน
การเข้ามาของบาง Broker ทำลายกำแพงเรื่องการลดค่าธรรมเนียม
แต่ในปัจจุบันไม่ได้เป็นแบบนั้นอีกแล้ว การเข้ามาของบางบริษัทหลักทรัพย์ที่เลือกใช้กลยุทธ์การแข่งขันด้านราคาต่างกดดันให้ Broker แต่ละแห่งต้องมีการปรับตัวและเลือกจะลดค่าธรรมเนียมตามอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ โดยเฉพาะใน Broker ที่ไม่ได้มีฐานลูกค้าและบริการที่หลากหลาย ซึ่งฟังดูแล้วเหมือนเป็นเรื่องดีสำหรับนักลงทุนอย่างพวกเรา ที่ทำให้รายย่อยสามารถเข้าถึงเรื่องนี้ได้มากขึ้นและลดช่องว่างความได้เปรียบกับรายใหญ่ที่เคยมีอำนาจต่อรองมาก่อน แต่ในอีกมุมหนึ่งกลับเป็นเรื่องที่น่าเป็นกังวลและส่งผลกระทบต่อตลาด เพราะด้วยค่าธรรมเนียมที่ถูกลงนี้ ทำให้กลยุทธ์ที่รายย่อยเคยใช้แล้วไม่ประสบความสำเร็จถูกนำกลับมาใช้ ขีดจำกัดด้านกลยุทธ์การลงทุนได้ขยายขึ้นอีกครั้ง
แล้วมันส่งผลกระทบต่อตลาดการลงทุนอย่างไร ?
เอาละครับ อย่างที่ผมบอกกับพวกท่านว่าเมื่อก่อนรายย่อยเคยพยายามเก็งกำไรรายวัน แต่พวกเขาต่างต้องผิดหวังเพราะคงเป็นเรื่องยากที่จะเอาชนะอุปสรรคใหญ่อย่างเรื่องของค่าธรรมเนียม แต่หากในปัจจุบันหากปัญหานั้นถูกลดทอนลงไป พวกท่านคิดว่าผลลัพธ์ของกลยุทธ์นั้นจะเป็นอย่างไร เราลองมาพิจารณากันผ่านตัวอย่างต่อไปนี้
นายชอบสวิงเทรด เป็นนักลงทุนที่มีเป้าหมายเก็งกำไรสั้น ๆ และพยายามทำหลาย ๆ รอบในแต่ละวัน โดยกลยุทธ์ที่เขาใช้ คือทำกำไรรอบละ 2 จุด (และมีจุดตัดขาดทุน 2 จุดเช่นเดียวกัน) ดังนั้นเราลองมาวิเคราะห์กันว่าหากนายชอบสวิงเทรด ตัดสินใจใช้กลยุทธ์นี้ในอดีตที่ไม่มีการลดค่าธรรมเนียมผลลัพธ์จะเป็นอย่างไร ? (เพื่อให้ง่ายต่อความเข้าใจขออนุญาตใช้ฐานข้อมูลอยู่ในรูปของจำนวนจุด ไม่แปลงเป็นหน่วยเงินบาท)
ในอดีต ค่าธรรมเนียมการซื้อขาย SET50 Index Futures เท่ากับ 438 บาทต่อหนึ่งครั้ง เพื่อให้คิดง่ายขอปัดตัวเลขกลม ๆ เป็น 400 บาท ดังนั้นทั้งเปิดและปิดสัญญาจะคิดเป็นเงิน 800 บาท และเมื่อแปลงกลับเป็นหน่วยจุดจะเท่ากับว่า ค่าธรรมเนียมสุทธิประมาณ 0.8 จุดต่อหนึ่งรอบการซื้อขาย (ค่าธรรมเนียม 800 บาท / จุดละ 1000 บาทในอดีต)
หากนายชอบสวิงเทรดทำการลงทุนเฉลี่ย 5 รอบต่อวัน จะได้ผลลัพธ์ตามกรณีต่าง ๆ ดังนี้
กรณีที่ 1 ถูกทั้ง 5 ครั้ง เขาจะได้กำไรรวม 10 จุด หักค่าธรรมเนียม 5 ครั้ง เท่ากับ 0.8 x 5 = 4 จุด เหลือกำไรสุทธิ = 6 จุด
กรณีที่ 2 ถูก 4 ครั้ง เขาจะได้กำไรรวม 6 จุด หักค่าธรรมเนียม 5 ครั้ง เท่ากับ 0.8 x 5 = 4 จุด เหลือกำไรสุทธิ = 2 จุด
กรณีที่ 3 ถูก 3 ครั้ง เขาจะได้กำไรรวม 2 จุด หักค่าธรรมเนียม 5 ครั้ง เท่ากับ 0.8 x 5 = 4 จุด เหลือกำไรสุทธิ = -2 จุด => ขาดทุน !
จากผลลัพธ์ที่เกิดขึ้น พบว่าหากวันใดที่นายชอบสวิงเทรด พลาดขาดทุนเพียงแค่ 2 ใน 5 ครั้ง พอร์ตเขาจะติดลบทันที แปลว่าถ้านายชอบสวิงเทรดคิดใช้กลยุทธ์นี้ในการลงทุน เขาต้องมีความแม่นยำในการเทรดไม่ต่ำกว่า 80% แล้วท่านคิดว่า ถ้าเป็นพวกท่านจะเลือกใช้กลยุทธ์นี้ในการลงทุนหรือไม่ ? คงมีน้อยคนที่เลือกตอบว่าทำต่อ เพราะไม่ว่าท่านจะเชี่ยวชาญแค่ไหน การเพิ่มความแม่นไปในระดับ 80% ก็ถือเป็นเรื่องทีเกิดขึ้นได้ยากอย่างยิ่ง และที่สำคัญไม่คุ้มเสี่ยงที่จะทำด้วย ซึ่งนี้แหละเป็นเหตุผลที่ทำให้กลยุทธ์เหล่านี้ไม่ค่อยมีใครเลือกใช้ในอดีต
แต่หากวันนี้เขากลับมาอีกครั้งด้วยกลยุทธ์แบบเดิมเพิ่มเติมคือค่าธรรมเนียมถูกลง พวกท่านคิดว่าผลลัพธ์จะยังคงเหมือนเดิมไหม ?
ปัจจุบัน ด้วยการเปลี่ยนไปของค่าธรรมเนียมที่สามารถต่อลองและลดลงเหลือประมาณ 2x ต่อสัญญา เพื่อให้คิดง่ายขอปัดตัวเลขกลม ๆ เป็น 20 บาท ดังนั้นทั้งเปิดและปิดสัญญาจะคิดเป็น 40 บาท และเมื่อแปลงกลับเป็นหน่วยจุดจะเท่ากับว่า ค่าธรรมเนียมสุทธิเหลือ 0.2 จุดต่อหนึ่งรอบการซื้อขาย
เราลองมาวิเคราะห์ผลลัพธ์กันใหม่นะครับ
กรณีที่ 1 ถูกทั้ง 5 ครั้ง เขาจะได้กำไรรวม 10 จุด หักค่าธรรมเนียม 5 ครั้ง เท่ากับ 0.2 x 5 = 1 จุด เหลือกำไรสุทธิ = 9 จุด
กรณีที่ 2 ถูก 4 ครั้ง เขาจะได้กำไรรวม 6 จุด หักค่าธรรมเนียม 5 ครั้ง เท่ากับ 0.2 x 5 = 1 จุด เหลือกำไรสุทธิ = 5 จุด
กรณีที่ 3 ถูก 3 ครั้ง เขาจะได้กำไรรวม 2 จุด หักค่าธรรมเนียม 5 ครั้ง เท่ากับ 0.2 x 5 = 1 จุด เหลือกำไรสุทธิ = 1 จุด => กำไร !
จากผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นจะเห็นว่านายชอบสวิงเทรดทำเหมือนเดิมทุกประการ แต่ด้วยค่าธรรมเนียมที่ถูกลงทำให้ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นไม่เหมือนเดิม นั้นคือจากเดิมที่เขาจะต้องขาดทุนทั้งๆที่สามารถเทรดถูกทางได้ถึง 3 ใน 5 ครั้ง แต่ในตอนนี้เขากลับยังเหลือกำไรและใกล้เคียงกับในอดีตที่ต้องพยายามทำกำไรให้ได้ถึง 4 ใน 5 ครั้งต่อวันด้วย แปลว่าในปัจจุบันถ้าเขามีความแม่นยำเฉลี่ยแค่ 60% ก็เพียงพอในการเอาชนะตลาดด้วยกลยุทธ์นี้ ซึ่งด้วยเหตุผลเหล่านี้ทำให้นักลงทุนบางกลุ่มจึงพยายามใช้ความได้เปรียบในต้นทุนเพื่อสร้างกลยุทธ์ต่าง ๆ ขึ้นมา ไม่ว่าจะเป็นการดักกิน Stoploss ระยะสั้น หรือการกระชากขึ้นและลงในไม่กี่นาทีเพื่อเก็บกำไรคำเล็ก ๆ ระหว่างวัน ต่างจากในอดีตที่มีเพียงแค่ Prop trade ที่สามารถทำเรื่องเหล่านี้ได้ โดยสามารถดูได้จากตัวอย่างดังรูปต่อไปนี้
รูปแสดงการเคลื่อนไหวของราคา S50M18 ราย 1 นาที
จากรูปพบว่าในช่วงที่ 1 ตลาดใช้เวลาเพียง 3 นาที ในการกระชากให้ราคาขึ้นจาก 1150 จุดไปที่ 1152 จุด จากนั้นใช้เวลาอีกแค่ 4 นาทีในการตบกลับมาที่เก่า และในช่วงที่ 2 ตลาดตั้งใจทำหลุด Low ที่ 1149 จุดและย่อลงไปแตะ 1147 จุดในเวลาเพียง 3 นาที แล้วค่อย ๆ ดึงขึ้น ฟังดูแล้วเหมือนจะไม่น่ามีใครกำไรจากการเคลื่อนไหวสั้น ๆ ในไม่กี่นาทีแบบนี้ แต่หากพิจารณากันดี ๆ ถ้ามีนักลงทุนคน/กลุ่มหนึ่งทำการ Long ไว้ และตั้งใจทำให้ราคาแตะ High เพื่อดักกิน Stop loss ของนักลงทุนคนอื่น ๆ ที่ชอบเล่น Break กรอบ High-Low เมื่อถึงเป้าหมาย 2 จุด เขาจึงปิดทำกำไร จากนั้นเปิด Short ต่อทันที เพียงเท่านี้ก็จะสามารถทำกำไรได้ 2 จุด ถึง 2 รอบ และหากทำแบบนี้อีกตอนหลุด Low ในเหตุการณ์ที่ 2 ก็เท่ากับว่าเขาจะได้กำไรถึง 4 รอบ เพียงเท่านี้ก็ถือว่าเข้าเป้าของวันแล้ว แล้วท่านคิดว่าในทุกวันนี้มีนักลงทุนที่สนใจกลยุทธ์เหล่านี้อยู่มากน้อยเพียงใด ? เห็นไหมครับค่าธรรมเนียมที่ถูกลง ทำให้คนมีการสร้างกลยุทธ์การลงทุนที่เปลี่ยนไปจากเดิม ไม่จำเป็นต้องพึ่งพาการทำกำไรโดยการถือยาวอีกต่อไป แหละนี้ครับเป็นอีกเหตุผลสำคัญที่ผมคิดว่ามันทำให้การเคลื่อนไหวของตลาดมีการเปลี่ยนไปจากเดิม
สุดท้ายผมมีประเด็นเรื่องค่าธรรมเนียมมาฝากทุกท่านอีกเล็กน้อย อย่างที่ผมบอกไปว่าเรื่องค่าธรรมเนียมเป็นเรื่องที่ส่งผลกระทบโดยตรงต่อ Performance ของนักลงทุน ซึ่งย้อนกลับไปเมื่อ 5 ปีก่อนผมได้มีโอกาสเป็น 1 ในทีมที่ทำการศึกษาเรื่องผลตอบแทนของนักลงทุนในตลาด TFEX (โดยตัวเองก็เป็น 1 ในกลุ่มตัวอย่าง) ซึ่งพวกเราตั้งคำถามว่า จากกลุ่มตัวอย่างจำนวน 50 คนที่ลงทุนในตลาด TFEX จะมีกี่คนสามารถทำกำไรได้ในปีนั้น เราลองดูผลสรุปของข้อมูลกันดีกว่า
รูปแสดงจำนวนนักลงทุนที่มีกำไร/ขาดทุนสุทธิต่อสัญญาในการลงทุน TFEX ในรอบ 1 ปี
*ข้อมูลนี้เกิดจากการสำรวจโดยการขอข้อมูลจากนักลงทุนจึงอาจมีความคลาดเคลื่อนของข้อมูล
เนื่องจากจำนวนเงินลงทุนของนักลงทุนแต่ละคนไม่เท่ากัน เพื่อความสะดวกในการเก็บผลลัพธ์จึงแปลงให้อยู่ในรูปกำไรสุทธิต่อสัญญา ซึ่งจากข้อมูลพบว่ามีนักลงทุนจำนวน 8 ใน 50 คนที่สามารถทำกำไรได้ในปีนั้น (แน่นอนว่าในช่วงนั้นผมเป็น 1 ใน 42 คนที่เหลือ) และก็คงทำให้นักลงทุนหลายท่านสบายใจขึ้นมาในระดับหนึ่ง ว่าจากคำที่ใครหลายคนกล่าวไว้ว่ามีคนประสบความสำเร็จในการลงทุนประมาณ 10-20% จากทั้งหมด น่าจะพอเป็นเรื่องจริงอยู่บ้าง แต่อย่างไรก็ตามสถิตินี้ยังจะเป็นเหมือนเดิมหรือไม่ ? หากเงื่อนไขบางอย่างถูกเปลี่ยนแปลงไป เช่นการคืนค่าคอมให้กับนักลงทุน
รูปแสดงจำนวนนักลงทุนที่มีกำไร/ขาดทุนก่อนหักค่าธรรมเนียมต่อสัญญาในการลงทุน TFEX ในรอบ 1 ปี
จากข้อมูลพบว่า หากคิดเฉพาะกำไร/ขาดทุนอย่างเดียวโดยไม่นับค่าธรรมเนียมเข้ามาเกี่ยวข้อง มีนักลงทุนที่ได้กำไรเพิ่มเข้ามาเป็น 22 ใน 50 คน จากของเดิมที่มีเพียง 8 คนเท่านั้น แสดงให้เห็นว่ามีนักลงทุนถึง 14 คน ที่ได้กำไรแต่ไม่สามารถชนะค่าคอมได้ (ในช่วงที่เก็บข้อมูลนั้นไม่มีการต่อรองขอลดค่าคอมแต่อย่างใด) แสดงว่า 1 ใน 3 ของนักลงทุนที่ขาดทุน เขาไม่ได้แพ้ตลาดเพราะกลยุทธ์ไม่ทำกำไร เพียงแต่กำไรที่ได้นั้นไม่สามารถชนะค่าธรรมเนียมได้ ดังนั้นผมอยากลองให้พวกท่านกลับไปสำรวจตัวเองดูว่าตัวเองกำลังเผชิญกับปัญหานี้อยู่หรือไม่ เพราะตัวผมเองก็ต้องขอยอมรับกับพวกท่านตรง ๆ ว่าหากตัวยังติดบ่วงเรื่องค่าธรรมเนียมนี้ ก็คงไม่สามารถที่จะสร้างผลตอบแทนของตนเองให้เป็นกำไรได้ โดยสามารถพิจารณาได้จากพอร์ตการลงทุนของผมในปีนี้
รูปแสดงผลตอบแทนของตัวผมเองในการลงทุน SET50 Index Futures ของปีนี้ (1 ม.ค. – 31 พ.ค.)
พวกท่านทราบใช่ไหมครับ ? ว่านักลงทุนสามารถขอ File บันทึกการเทรดทั้งหมดจากที่ปรึกษาการลงทุนได้ โดยผมคิดว่าข้อมูลตรงนี้น่าจะเป็นข้อมูลที่แท้จริงที่บ่งบอกถึง Performance ของแต่ละท่าน โดยจากรูปพบว่า 5 เดือนที่ผ่านมา มีการเทรดไปทั้งสิ้น 20,510 สัญญา ถ้าคิดทั้งเปิดและปิดสัญญาจะเท่ากับ 41,020 ครั้ง และมีกำไรสุทธิประมาณ 1.15 ล้านบาทโดยคิดจากค่าธรรมเนียมเท่ากับ 20.1 บาทต่อสัญญา ดังนั้นเราลองมาเปลี่ยนค่าธรรมเนียมกันดูไหม ?
กรณีที่ 1 หากต้องเทรดโดยใช้ค่าธรรมเนียมเป็นสัญญาละ 34.1 บาทต่อสัญญา (ซึ่งเป็นเรทต่ำสุดตามตารางสากลที่ลดได้ต่อวัน) ผมจะต้องมีต้นทุนเพิ่มขึ้นเท่ากับ 14 บาทต่อครั้ง x จำนวนการเทรด 41,020 ครั้ง = 574,280 บาท จะเหลือกำไรเพียงครึ่งเดียว
กรณีที่ 2 หากต้องเทรดโดยใช้ค่าธรรมเนียมเป็นสัญญาละ 50.1 บาทต่อสัญญา ผมจะต้องมีต้นทุนเพิ่มขึ้นเท่ากับ 30 บาทต่อครั้ง x จำนวนการเทรด 41,020 ครั้ง = 1,230,600 บาท จะขาดทุนทันที
ดังนั้นคงไม่ต้องคิดต่อกันแล้วนะครับ ว่าหากต้นทุนในระดับปกติที่ 79.1 บาท จะส่งผลกระทบต่อการลงทุนมากเพียงใด ซึ่งนี้แหละคือปัญหาอีกอย่างที่ทำให้หลายคนยังไม่ประสบความสำเร็จในการเทรด
เป็นไงกันบ้างครับ กับบทความทั้งหมด 2 ตอนที่ได้แชร์ให้กับพวกท่านได้รับรู้ และนั่นคือความจริงที่เกิดขึ้นกับตลาดหุ้นไทยในมุมมองของผมและคิดว่าเป็นประเด็นที่รายใหญ่กำลังได้เปรียบอยู่ ดังนั้นผมคิดว่าถึงเวลาที่นักลงทุนควรได้รับสิ่งที่เหมาะสมและลดความเลื่อมล้ำระหว่างข้อมูล,ความรู้,เทคโนโลยีต่าง ๆ บ้างได้แล้ว
ปัจจุบันผมเทรดอยู่กับเพื่อนๆเป็นกลุ่มใหญ่ หากท่านใดที่เทรดอยู่แล้ว สนใจและยังไม่มีโอกาสเข้าถึงเรื่องต่างๆที่กล่าวไปในการลงทุน TFEX เพราะติดเรื่องเงื่อนไขและข้อจำกัดด้านต่างๆ สามารถ @line ,facebook หรือหลังไมค์มาคุยหรือขอคำแนะนำได้ครับ (ขออนุญาตรับเข้ากลุ่มเฉพาะคนที่เคยเทรดแล้วหรือเทรดอยู่แบบออนไลน์ เพราะไม่อยากให้กระทู้นี้เป็นกระทู้เชิญชวนนักลงทุนหน้าใหม่ที่ยังไม่พร้อมในการเล่น) และหากใครที่สนใจเรื่อง System หรือใช้โปรแกรม AMIBROKER ผมสามารถให้ความรู้เบื้องต้นได้ รวมไปถึง Line Alert แบบ Real time ก็สามารถทักมาเข้ากลุ่มเพื่อทดลองใช้ และหวังว่าทุกคนจะนำความรู้เหล่านี้ไปพัฒนาตัวเองและต่อยอดกันต่อในอนาคต ส่วนตัวผมเองยังมีข้อมูลอีกเป็นจำนวนมากที่คิดว่าเป็นประโยชน์กับพวกท่าน ซึ่งจะค่อย ๆ จัดทำและนำมาเผยแพร่ สุดท้ายขอเป็นกำลังใจให้นักลงทุนทุกท่านประสบความสำเร็จในการลงทุนและกลับมาแชร์เรื่องราวเหล่านั้นเพื่อเป็นความรู้และวิทยาทานให้คนอื่นต่อ ๆ ไป ขอบคุณมากครับ