สวัสดีครับ ในช่วงนี้มีประเด็นเรื่องแชร์ลูกโซ่ในสังคมการลงทุน ทำให้มีผู้โชคร้ายหลายคนต้องตกเป็นเหยื่อ สร้างความเดือดร้อนจนบางท่านถึงกับต้องสูญเสียเงินเก็บที่สะสมมาทั้งชีวิต เราจึงอยากเป็น 1 ในกลุ่มคนที่ให้ข้อมูลเพื่อลดปัญหานี้ โดยเราจะกลับมาให้ความรู้เรื่องการลงทุนอย่างถูกต้องอีกครั้งต่อจากนี้

ทุกวันนี้พวกท่านมีรายได้พอใช้หรือไม่? ถ้าคำตอบคือ ยังไม่พอ! เรามีโอกาสที่ดีมานำเสนอครับ มาร่วมลงทุนไปกับเรา ด้วยระบบ AI อัจฉริยะที่ใช้ในการซื้อขายเงินตราต่างประเทศ โดยพวกท่านจะได้ผลตอบแทน 1015% ต่อเดือน การันตีคืนเงินต้น 100% ! อย่ามัวรอช้านะครับ เพราะเรารับอีกเพียง 10 ท่านเท่านั้น !! สนใจติดต่อมาได้ที่ Line Square : TFEX For Future
ไม่น่าเชื่อนะครับ เพียงประโยคสั้นๆ ไม่กี่บรรทัด ก็สามารถสร้างความเสียหายเป็นวงกว้างทั่วทั้งประเทศ โดยคิดเป็นมูลค่าสูงกว่าหมื่นล้านบาท และที่สำคัญ … เรื่องราวของแชร์ลูกโซ่นี้ เกิดขึ้นมาอย่างต่อเนื่องในทุกยุคทุกสมัย ต่างกันเพียงรูปแบบการนำเสนอ โดยในยุคปัจจุบัน แชร์ลูกโซ่ได้ใช้ตลาดการเงินเป็นเครื่องมือหลักในการหลอกล่อนักลงทุน รวมไปถึงการอ้างอิงคำศัพท์ทางเทคโนโลยีเพื่อเพิ่มความน่าเชื่อถือ และในฐานะที่พวกเราเป็นหนึ่งในนักลงทุนที่ใกล้ชิดกับเครื่องมือเหล่านี้ จึงอยากออกมาตีแผ่ความจริงเพื่อเตือนสติของทุกท่าน ไม่ให้หลงกลกับภาพลวงตาที่ไม่มีอยู่จริง
พวกเราจะอธิบายให้มือใหม่ทุกท่านรู้จักผลตอบแทนและความเสี่ยงของตลาดหุ้น ตลาดอนุพันธ์ รวมไปถึงเรื่อง AI หรือ หุ่นยนต์เทรด และทำให้ทุกท่านได้ทราบว่า การทำผลตอบแทนในระดับ 100% นั้นสามารถทำได้จริง แต่ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะเกิดขึ้น อีกทั้งมีเงื่อนไขบางอย่างที่แชร์ลูกโซ่ทุกกองได้โฆษณาไว้ แต่ไม่สามารถทำได้จริงในทางปฏิบัติ ! โดยเราจะเริ่มต้นจากข้อมูลที่แท้จริงของการลงทุนในตลาดหุ้นดังต่อไปนี้
ทำความเข้าใจผลตอบที่เกิดขึ้นจริงของตลาดหุ้น
พวกท่านคิดว่าโดยทั่วไปตลาดหุ้นจะให้ผลตอบแทนเฉลี่ยกี่เปอร์เซ็นต์ ต่อปี? 20, 50 หรือ 100 เปอร์เซ็นต์? หากใครที่กำลังคิดเช่นนี้ ผมขอให้ทุกท่านดึงความคาดหวังของตัวเองลงมาพบเจอกับความเป็นจริง เพราะแท้จริงแล้วตลาดหุ้นแทบไม่เคยให้ผลตอบเกินกว่า 20% ในแต่ละปี โดยเฉพาะ 5 ปีหลังสุด ที่จะเห็นได้ว่าตลาดแทบจะไม่มีการเติบโตขึ้นเลย ซึ่งพวกท่านสามารถทำความเข้าใจในเรื่องผลตอบแทนของตลาดหุ้นได้ ดังนี้
ผลตอบแทนจากการลงทุนในตลาดหุ้นหลักๆ จะแบ่งออกเป็น 2 รูปแบบ คือ
1.กำไรจากส่วนต่างราคา (Capital gain) หมายถึง ส่วนต่างที่เกิดจากราคาหุ้น ณ ปัจจุบัน กับราคาหุ้นในขณะที่เราซื้อมา โดยหากหุ้นที่เรากำลังถือครองอยู่นั้น มีแนวโน้มธุรกิจที่สดใส นักลงทุนย่อมมีความต้องการหุ้นตัวนั้น และมีแรงซื้อผลักดันให้ราคาปรับตัวเพิ่มขึ้น แต่ในทางตรงกันข้าม หากแนวโน้มของธุรกิจเกิดการฝืดเคืองก็จะทำให้คนต้องการขายมากกว่า หุ้นก็จะปรับตัวลดลง ดังนั้นจะสังเกตว่าผลตอบแทนในส่วนนี้จะมีโอกาสเกิดขึ้นได้ทั้งทางบวกและทางลบ ขึ้นอยู่กับแนวโน้มในแต่ละปี
2.เงินปันผล (Dividend) มันคือส่วนที่ทางบริษัทให้การตอบแทนความไว้วางใจแก่นักลงทุน ที่ตัดสินใจเข้ามาเป็นเจ้าของร่วม (หุ้นส่วน) กับบริษัท เมื่อมีกำไรบริษัทก็จะปันกำไรส่วนหนึ่งคืนให้กับนักลงทุน หรือที่เราเรียกว่า เงินปันผล โดยเฉลี่ยจะอยู่ที่ปีละ 1 – 2 ครั้ง แต่หากในปีใดที่บริษัทไม่มีกำไรก็อาจจะไม่มีการปันผลคืนกลับมา ดังนั้นผลตอบแทนในส่วนนี้ก็จะอยู่ระหว่าง 05% ต่อปี ขึ้นอยู่กับกำไรที่เกิดขึ้น
เราลองมาดูสรุปผลตอบแทน 5 ปีย้อนหลังของตลาดหุ้นจากข้อมูล ดังนี้

ตารางแสดงผลตอบแทนในแต่ละปีของตลาดหุ้นไทย

จากตาราง จะพบว่าในช่วง 5 ปีที่ผ่านมานั้น ตลาดหุ้นไทยให้ผลตอบแทนเฉลี่ยอยู่ที่ 7.85% โดยแบ่งออกเป็น ส่วนต่างราคา (Capital gain) 4.79% และ เงินปันผล (Dividend) 3.06% โดยตัวเลขดังกล่าว เป็นตัวเลขที่นักลงทุนที่ลงทุนให้ตลาดหุ้นอยู่เป็นประจำ รับรู้และยอมรับกันมาตลอด เพราะรู้ว่านี้คือ “ความจริง” ของผลตอบแทนที่เขาคาดหวังกันในแต่ละปี รวมไปถึงตลาดหุ้นในต่างประเทศเอง ก็ไม่ได้มีค่าเฉลี่ยที่แตกต่างจากนี้มากนัก และมันห่างไกลจากคำโฆษณาชวนเชื่อของแชร์ลูกโซ่อย่างมาก ดังนั้นหมายความว่า ไม่มีใครที่สามารถทำกำไรในตลาดหุ้นได้ 100% ต่อปี !
หากพวกเราสรุปแบบนี้ทุกท่านคงส่ายหัวและหยุดอ่านบทความนี้อย่างแน่นอน
เพราะทุกท่านคงอยากโต้แย้งกลับมาว่า มีคนรู้จักหรือเคยเห็นคนที่เขาสามารถเล่นหุ้นได้ 100% ต่อปีจริง ใช่ครับ! คำตอบคือมีอย่างแน่นอน แม้ว่าโดยเฉลี่ยตลาดหุ้นจะโตปีละไม่ถึง 10% แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าหุ้นทุกตัวจะโตเท่ากัน เพราะตลาดหุ้นนั้นมีรางวัลมอบให้กับผู้ที่มีความสามารถและความพยายาม โดยแม้ว่าค่าเฉลี่ยของผลตอบแทนตลาดหุ้นจะไม่ถึง 10% แต่หากพิจารณารายตัวแล้ว กลับพบว่ามีหุ้นบางตัวที่โตมากกว่า 100% ต่อปี แล้วพวกท่านคิดว่าจะมีโอกาสสักเท่าใดที่เราจะเห็นหุ้นเหล่านั้น ?
3% คือตัวเลขของจำนวนหุ้นที่ปรับตัวขึ้นเกินกว่า 100% ในแต่ละปี
หากพวกท่านเป็นนักลงทุนที่กำลังแสวงหาหุ้น Undervalue ที่ปรับตัวขึ้นเกิน 100% ในแต่ละปี พวกท่านต้องมีความพยายามมาก เพราะท่านเป็นเพียงคนส่วนน้อยที่ลงทุนหุ้นทางตรงแล้วจะได้พบกับหุ้นที่ขึ้นแรงเหล่านี้ โดยในช่วง 5 ปีที่ผ่านมามีรายละเอียด ดังนี้

ตารางแสดงปริมาณและรายชื่อหุ้นที่ขึ้นเกินกว่า 100% ในแต่ละปีในช่วง 5 ปีหลังสุด

*คิดจากราคาปิดของปีนั้น (t) เทียบกับราคาปิดของปีก่อนหน้า (t1) 
จากตารางจะพบว่าในช่วง 5 ปีหลังสุด มีหุ้นที่ปรับตัวจากต้นปีไปจนถึงสิ้นปีสูงกว่า 100% ทั้งหมด 131 ตัว จากทั้งหมด 778 ตัว และเมื่อพิจารณาเป็นรายปี จะพบว่าค่าเฉลี่ยที่เราจะสามารถเห็นหุ้นปิดยืนเหนือกว่า 100% อยู่ที่ปีละ 27.8 ตัว หรือคิดเป็น 3.57% ซึ่งถือเป็นตัวเลขที่ค่อนข้างต่ำ โดยเฉพาะปีล่าสุด (2018) ที่มีแค่เพียง 9 ตัว หรือ 1% เท่านั้น ! ซึ่งตัวเลขนี้คงไม่ต่างอะไรกับการถูกรางวัลเลขท้าย 2 ตัวเลย
คราวนี้ทุกท่านคงได้รับรู้ถึงความจริงกันแล้วนะครับ ว่าแม้ตลาดหุ้นจะสามารถสร้างผลตอบแทนในระดับ 100% ได้ แต่มันก็คงไม่ใช่เรื่องที่ง่ายนัก และต่อให้พวกเราไม่เสนอสถิติเหล่านี้ออกมา ก็เชื่อว่าทุกคนสามารถใช้วิจารณญาณคาดคะเนในเรื่องดังกล่าวได้ แล้วพวกท่านคิดว่าตัวเองจะเป็นหนึ่งในผู้โชคดีที่เจอคนที่สามารถทำกำไรในตลาดหุ้นให้พวกท่านเกินกว่า 100% จริงหรือ ?
มันคงเป็นเรื่องที่พอเข้าใจได้ หากผู้ที่หลงกลให้กับแชร์ลูกโซ่นั้นเป็นเพียงชาวบ้านธรรมดาที่ขาดความรู้ ขาดการวิเคราะห์ และใช้แต่ความโลภนำเหตุผล แต่ก็ไม่น่าเชื่อว่าจะมีแชร์ลูกโซ่บางกองที่สามารถหลอกได้ในทุกสาขาอาชีพ ไม่ว่าจะเป็นข้าราชการชั้นสูง การแพทย์ บุคคลที่มีชื่อเสียง หรือแม้กระทั่งผู้ที่เกี่ยวข้องกับการลงทุนอย่างพนักงานในบริษัทหลักทรัพย์ ซึ่งเป็นผู้ที่น่าจะรู้เรื่องราวในส่วนนี้ดีอยู่แล้ว
แล้วพวกท่านสงสัยเหมือนกันไหมครับ ว่าตรรกะง่ายๆ ที่ใช้วิจารณญาณก็สามารถตัดสินเรื่องความเป็นไปไม่ได้ออกแล้ว
ทำไมเขาเหล่านั้น ถึงยังหลงกลให้กับพวกแชร์ลูกโซ่อยู่อีก”

เพราะตลาดการเงินถูกพัฒนาไปมาก จนสามารถหลอกนักลงทุนได้
โลกของการลงทุนได้ถูกพัฒนาไปไกลเกินกว่าที่คาดคิด โดยเฉพาะเรื่องการตอบโจทย์ความโลภของมนุษย์ จึงทำให้เกิดผลิตภัณฑ์ตัวใหม่ที่สามารถสร้างผลตอบแทนได้อย่างมากมายและรวดเร็ว รวมไปถึงการนำเทคโนโลยีใหม่ มาใช้เพิ่มความน่าเชื่อถือในการลงทุน ทุกคนสังเกตเห็นเหมือนกันไหมครับ ว่าแชร์ลูกโซ่ที่อ้างอิงกับการลงทุนทั้งหลาย จะต้องมีคำ 2 คำที่สำคัญอยู่ในโฆษณาเสมอ ได้แก่ ตลาดอนุพันธ์ และ AI แล้วทั้ง 2 คำนี้คืออะไร? ทำไมถึงทำให้นักการเงินทั้งหลายยอมหลงเชื่อว่าสามารถทำกำไรเกินกว่า 100% ได้ เราลองมาทำความเข้าใจกันผ่านเนื้อหาต่อจากนี้
Forex, TFEX, Cryptocurrency ล้วนเป็นหนึ่งในตลาด (ผลิตภัณฑ์) ตราสารอนุพันธ์
หากพูดถึงตลาดอนุพันธ์ ทุกท่านคงสงสัยและคิดว่าเราให้ข้อมูลผิดหรือไม่ เพราะแทบไม่มีแชร์ลูกโซ่ใดเลย ที่ใส่คำนี้ลงไป แต่หากถ้าพูดถึงคำบางคำ อย่างเช่น Forex, TFEX, สกุลเงินต่างประเทศ, Cryptocurrency พวกท่านจะคุ้นเคยกับมันและมั่นใจว่าได้เห็นผ่านตาในทุกโฆษณาของแชร์ลูกโซ่ ซึ่งสิ่งที่เราจะบอกกับทุกท่านคือ ไม่ว่าจะเป็นคำไหน ทุกตัวล้วนแล้วแต่เป็นสินค้าอนุพันธ์ทั้งสิ้น

ตลาดอนุพันธ์คืออะไร ?
สำหรับนักลงทุนที่เคยลงทุนหรือทราบ Logic ของการลงทุนอนุพันธ์อยู่แล้ว ท่านสามารถข้ามย่อหน้านี้ไปได้เลยครับ แต่สำหรับใครที่ยังไม่ทราบ พวกเราจะอธิบายให้ทุกท่านกระจ่าง และได้ทราบถึงผลตอบแทน รวมถึงความเสี่ยงของการลงทุนในอนุพันธ์แบบสรุป ซึ่งจะทำให้ทุกท่านได้รับรู้ว่า มันสามารถทำกำไรในระดับ 100% ได้อย่างง่ายดาย” และเพื่อความเข้าใจให้ง่ายขึ้น เราอยากให้ทุกท่านลองเปรียบเทียบกับการซื้อขายหุ้นธรรมดา โดยให้รับรู้ว่าตราสารอนุพันธ์ถูกพัฒนาลูกเล่นขึ้นมาอีกระดับ ที่มีคุณสมบัติเพิ่มเข้ามา 2 ประการ ดังนี้

1.ลงทุนขาลงได้ ใช่ครับ ทุกท่านเข้าใจไม่ผิด ความหมายของมันตรงตัวเลย นั่นคือ หากถ้าใครที่มั่นใจว่าสินทรัพย์ตัวนั้นจะแนวโน้มขาลง ตราสารอนุพันธ์สามารถทำให้การคาดการณ์ของพวกท่านแปรเปลี่ยนเป็นกำไรได้ … โดยถ้าหากสินทรัพย์ตัวนั้นลงจริง พวกท่านแค่เปิดสถานะลงทุนในทิศทางขาลง โดยคู่สัญญาที่เขามองขึ้นก็ต้องจ่ายส่วนต่างที่คาดการณ์ผิดไปให้กับพวกท่าน ดังนั้น นี่จึงถือเป็นคุณสมบัติที่ทำให้พวกเขาสามารถรับประกันได้ว่า “การลงทุนของพวกเขา ไม่เคยสนใจสภาวะของตลาด เพราะไม่ว่าตลาดจะลงหนักแค่ไหนเขาก็สามารถทำกำไรให้พวกท่านได้เสมอ”

2.ขยายอำนาจเงินลงทุนอีก 10100 เท่า นี่แหละครับ เป็นคุณสมบัติที่แท้จริง ที่ทำให้ผู้ที่ลงทุนในตลาดนี้สามารถได้กำไรในระดับ 100% ได้ เพราะจากกฎเดิมๆ ที่พวกเราเคยทราบกันว่า มีเงินเท่าไหร่ สามารถลงทุนได้เท่านั้น” โดยตอนนี้ถูกพลิกแพลงเป็น มีเงินเท่าไหร่ ขยายอำนาจการลงทุนได้อีก 10 ถึง 100 เท่า” ดังนั้น ต่อจากนี้ หากเราสามารถคาดการณ์ทิศทางของหุ้นหรือสินทรัพย์ตัวนั้นได้ถูกทางแค่ 10% ตลาดอนุพันธ์จะช่วยให้เราได้กำไรเพิ่มอีก 10-100 เท่า ทำให้ได้กำไรในพอร์ตได้มากถึง 100-1000% !

ตัวอย่างการคิดกำไรในตลาดอนุพันธ์
เราลองมาจำลองการซื้อขายตลาดอนุพันธ์ให้ได้กำไร 100% กันดีกว่า โดยเราจะใช้กลยุทธ์การซื้อขายแบบง่ายที่สุด คือการเอาเส้น Moving Average (MA) 2 เส้นตัดกัน โดยกำหนดให้เส้นสั้นคือ 5 แท่ง และเส้นยาวคือ 100 แท่ง (ตัดขึ้น Long ตัดลง Short) ใน SET50 Index Futures ราย 15 นาที ตั้งแต่แต่ 2014-2018 จะได้ผลลัพธ์ ดังนี้

ตารางแสดงผลตอบแทนของการเอา MA 5 ตัดกับ MA 100 เป็นเวลา 5 ปี

จากตารางจะพบว่าผลตอบแทนที่ได้ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา การใช้ MA 5 ตัดกับ MA 100 ใน SET50 Index Futures ราย 15 นาที จะได้ผลตอบแทนสุทธิ 525.1 จุด โดยแบ่งเป็นการทำกำไรจากขาขึ้น (Long) 366.8 จุด และการทำกำไรจากขาลง (Short) 158.3 จุด หรือเฉลี่ย 105.02 จุดต่อปี โดยเราสามารถนำผลลัพธ์นี้มาคำนวณกำไรขาดทุนได้เป็น 2 กรณี ดังนี้

กรณีที่ 1 คิดแบบการลงทุนในตลาดหุ้นปกติ
           หากเป็นการลงทุนในหลักทรัพย์แบบปกติ จะเห็นได้ว่าดัชนี SET50 Index ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมาเคลื่อนไหวอยู่บริเวณ 1000 จุด ดังนั้น การทำกำไรเฉลี่ยปีละ 100 จุดนี้ สามารถคิดกลับมาเป็น % ผลตอบแทนได้จากสมการ
% ผลตอบแทน            = กำไรสุทธิที่ได้ (จุด) / ฐานดัชนี (เงินลงทุน)
= 100 / 1000
= 10%
ดังนั้น หากเราใช้กลยุทธ์นี้ในการลงทุนหุ้นจะได้ผลตอบแทนประมาณ 10% ต่อปีเท่านั้น

กรณีที่ 2 คิดแบบการลงทุนในตลาดตราสารอนุพันธ์ TFEX
สำหรับการลงทุนในตลาดอนุพันธ์ ทุกท่านคงทราบกันดีอยู่แล้วว่า เราต้องเปลี่ยนจำนวนจุดที่ได้รับ ให้กลายเป็นจำนวนเงิน โดนปัจจุบันตลาด TFEX ได้กำหนดการเปลี่ยนจาก SET50 Index Futures ไว้ที่ 1 จุด เท่ากับ 200 บาท
ดังนั้น หากเราได้รับกำไรเฉลี่ยปีละ 100 จุด จะสามารถคิดกลับเป็นจำนวนเงินเท่ากับ 100 จุด x 200 บาท = 20,000 บาท
จากนั้น อย่างที่ทราบว่าตลาดอนุพันธ์นี้ จะกำหนดเงินวางประกันเพียงแค่เล็กน้อย เพื่อเป็นเงินลงทุนเท่านั้น โดย SET50 Index Futures ถูกกำหนดเงินลงทุนขั้นต่ำอยู่ประมาณ 10,000 บาท
ดังนั้นจะเห็นว่า เมื่อคิดเป็น % กำไรที่ได้ = 20,000 / 10,000 บาท หรือ 200%

เห็นไหมครับ กลยุทธ์เดียวกันทุกประการ แต่ถูกใช้ผ่านคนละตลาด โดยอาศัยกฎการใช้เงินลงทุนที่น้อยลงของตราสารอนุพันธ์ ก็มีโอกาสทำกำไรจากเดิม 10% กลายเป็น 200% ได้ทันที

เหตุผลทั้งหมดคือ สิ่งที่ยืนยันว่าตลาดอนุพันธ์สามารถทำกำไรระดับ 100% ได้
ซึ่งนี่แหละครับคือเหตุผลที่นักลงทุนหลายคนเสียท่าให้กับแชร์ลูกโซ่ เพราะพวกเขารู้ดีว่า มันมีโอกาสจริง ๆ ถ้าพวกเขาเจอคนที่เก่งและนำเงินเขาไปลงทุนในตลาดนี้ ดังนั้น หากถ้าพวกท่านเป็นคนสร้างแชร์ลูกโซ่ขึ้นมา พวกท่านจะทำอย่างไรให้ตัวเองดูน่าเชื่อถือเพื่อหลอกให้คนอื่นไว้วางใจว่าตัวเองคือ “มืออาชีพ” ที่เก่งพอในการทำกำไรในตลาดนี้ … เริ่มคิดออกแล้วใช่ไหมครับ มันจึงเป็นที่มาของ คำที่ 2 ที่เราเห็นในแชร์ลูกโซ่ชอบใช้ คือ “ผมใช้ AI ในการเทรด” , “ผมมีหุ่นยนต์เทพให้ใช้” , “ผมมีมืออาชีพเขียนระบบเทรดให้” เป็นต้น
AI คือคำตอบที่ดีที่สุด ที่นักลงทุนสนใจและเชื่อว่ามันทรงประสิทธิภาพในการลงทุน

ในปัจจุบันนี้ หากพูดถึงเทคโนโลยีที่นักลงทุนอยากได้กันมากที่สุดสำหรับการเทรดหุ้น(อนุพันธ์) คงไม่หนีพ้นเรื่องของ AI เพราะนักลงทุนเชื่อว่า มันคือเครื่องมือวิเศษที่จะนำพาให้พวกเขาประสบความสำเร็จได้โดยง่าย โดยที่บางคนไม่รู้เสียด้วยซ้ำว่า AI คืออะไรและมีประโยชน์อย่างไร ดังนั้นเรามาทำความเข้าใจ AI กันแบบสรุป ว่าแท้จริง  AI  (Artificial Intelligence) หรือ ปัญญาประดิษฐ์ เป็นศาสตร์หนึ่งของวิทยาการทางคอมพิวเตอร์ ที่ถูกเขียนโปรแกรมขึ้นมาทำหน้าที่เหมือนสมองของมนุษย์ เพื่อใช้ในการคิดวิเคราะห์ ประมวลผลข้อมูลขนาดใหญ่ รวมไปถึงตัดสินใจที่รวดเร็วและแม่นยำ โดยสำหรับตลาดหุ้น AI จะถูกนำมาใช้หลัก ๆ คือการช่วยหาจุดตัดสินใจซื้อขายที่เหมาะสมตามสถานการณ์ต่าง ๆที่เปลี่ยนแปลงไป และส่งคำสั่งซื้อขายอย่างรวดเร็วนั่นเอง

จำลองการใช้ AI ในการเทรดด้วยเครื่องมือทางเทคนิคที่นักลงทุนชอบใช้กันมากที่สุดในตลาดหุ้น 
แน่นอนว่าหากเรามองการใช้ MA 2 เส้นตัดกันดั่งตัวอย่างก่อนหน้า คือ Logic ที่นักลงทุนใช้ในการกำหนดจังหวะตัดสินใจซื้อหรือขาย (Long หรือ Short) การใช้ AI เข้ามาเกี่ยวข้องก็จะสามารถเพิ่มเติมประสิทธิภาพได้ เพราะ AI จะช่วยวิเคราะห์และบอกเราว่าในแต่ละสถาณการณ์/แต่ละช่วงเวลา ค่า MA 2 ค่าที่ตัดกันแล้วให้ผลลัพธ์ที่มีประสิทธิภาพที่สุดคือค่าใด ดังนั้น เราลองมาสมมุติกันว่า เราเจอ AI ที่มีประสิทธิภาพที่สุดด้วยการหาค่า MA 2 เส้น ที่ดีที่สุดในแต่ละปีออกมา เพื่อดูว่า ถ้าเรามี AI ที่ดีจะทำให้ได้ผลลัพธ์ดีขึ้นมากกว่าปกติอย่างไร และที่สำคัญ พวกท่านจะได้รู้ความจริงว่า ต่อให้ AI ที่ดีที่สุด ก็ไม่สามารถทำเงื่อนไขประการหนึ่งที่แชร์ลูกโซ่เขาหลอกไว้ได้”

ตารางแสดงผลตอบแทนของการเอาค่าที่ดีที่สุดของการใช้ MA 2 เส้นตัดกันเป็นเวลา 5 ปี

จากตารางพบว่า หากเราคำการหาค่า MA 2 เส้นที่ดีที่สุดในแต่ละปี จะได้ค่าที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง โดยปีแรก(2014) ได้ค่าเส้น MA ระยะสั้นสั้นที่ 14 แท่ง ส่วนค่าเส้น MA ระยะยาวใช้เพียง 36 แท่งย้อนหลังเท่านั้น ในขณะที่ปีต่อมา (2015) ค่าเส้นสั้นที่ดีที่สุดกลับใช้ค่าเพียง 3 แท่ง ส่วนเส้นยาวใช้ถึง 110 แท่งย้อนหลัง เป็นต้น ที่เป็นเช่นนี้เป็นเพราะว่าสภาวะตลาดในแต่ละปี มีการเคลื่อนไหว(ความผันผวน)ที่แตกต่างกัน ดังนั้นหากถ้าใครใช้ค่าเดิม ๆ ตลอด 5 ปี จะไม่มีทางให้ผลลัพธ์ที่ดีเท่ากับนักลงทุนที่ใช้ AI ในการวิเคราะห์และเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา โดยจะสังเกตได้ว่า ผลตอบแทนที่ได้จะสูงกว่าเดิมจาก 100 จุดต่อปีกลายเป็น 250 จุดต่อปีเลยทีเดียว ! ดังนั้น นี่จึงเป็นข้อสรุปว่า การใช้ AI ที่มีประสิทธิภาพจะยิ่งทำให้ผลลัพธ์ออกมาดีขึ้น และนี่คือเหตผลที่ว่า ทำไมใครหลายคนถึงเชื่อว่าการมี AI เข้ามาช่วย จะเพิ่มความน่าเชื่อถือในการลงทุนได้
จากเนื้อหาทั้งหมด ทุกท่านคงเข้าใจกันแล้วนะครับ ว่าเรื่องการทำกำไรระดับ 100% ด้วย AI ในตลาดอนุพันธ์คงไม่ใช่เรื่องที่เกินจริงแต่อย่างใด แต่รู้ไหมครับ จินตนาการที่สวยหรูเกินจริงนี้เอง ที่มันจะสร้างข้อบกพร่องตัวหนึ่งที่แชร์ลูกโซ่ไม่ระวังในการนำเสนอข้อมูล เพราะมันมีเรื่องที่เป็นไปไม่ได้เลย ที่ต่อให้ AI ขั้นเทพแค่ไหนก็ต้องยอมรับว่าเกิดขึ้นไม่ได้ ! นั้นคือ การทำกำไรอย่างต่อเนื่องและสม่ำเสมอ” คุ้น ๆ ไหมครับ สิ่งที่จูงใจพวกเรามากที่สุดที่แชร์ลูกโซ่เขามักจะเสนอเงื่อนไขไว้ คือ ให้ผลตอบแทนสม่ำเสมอ 10 – 15% นั้นเอง
ต่อให้เป็น AI ขั้นเทพแค่ไหน ก็เลี่ยงกับการขาดทุนบางช่วงเวลาไม่ได้ !
เราขอยืนยันว่า ทุกระบบ ทุกโมเดล ทุกหุ่นยนต์ หรือ AI ย่อมมีช่วงเวลาที่แพ้ทางให้กับสภาวะตลาดที่ไม่ถนัดเสมอ” เพราะเรื่องของสไตล์การเทรดในบางครั้ง เราจำเป็นต้องเลือกสไตล์ตามที่เราต้องการ เช่น คนที่เล่นเป็น Trend Follow จะต้องขาดทุนในช่วงตลาด Sideway ส่วนคนที่ใช้กลยุทธ์ดักวางโซนในการรับซื้อหุ้นเรื่อย ๆ ก็อาจจะไม่ได้รับกำไรในช่วงที่ตลาดเป็นขาลงทั้งเดือน/ปี เป็นต้น และตลาดหุ้นเองก็ไม่เคยเคลื่อนไหวให้ใครทำกำไรง่าย ๆ ดังนั้นมันจึงเป็นไปไม่ได้เลยที่นักลงทุนจะได้กำไรในทุกครั้งที่ลงทุน และเพื่อพิสูจน์ข้อเท็จจริงในเรื่องนี้ พวกเราจะทำการนำผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นจากการลงทุนโดยใช้ AI ของ MA 2 เส้นตัดกัน ในช่วง 5 ปี (ตารางก่อน) มาจำแนกออกเป็นผลตอบแทนรายเดือนจะได้ผลลัพธ์ดังนี้
ตารางแสดงผลตอบแทนรายเดือนของการใช้ MA 2 เส้นที่ดีที่สุดตัดเป็น เป็นเวลา 5 ปี

จากตารางพบว่า แม้ในแต่ละปี AI จะให้ผลลัพธ์เฉลี่ยมากกว่า 200 จุดต่อปี แต่เมื่อพิจารณาเป็นรายเดือนแล้วกลับมีถึง 20 เดือนในทั้งหมด 60 เดือนที่ให้ผลตอบแทนติดลบ ! (1 ใน 3) ซึ่งนี่เป็นผลลัพธ์จาก AI ที่เราทำการหาค่าที่ดีที่สุดแบบรู้อนาคตล่วงหน้าในทุกปีเสียด้วย เพราะฉะนั้นแล้วคงเป็นเรื่องที่ยากมากที่ใครสักคนจะทำตามสัญญาในการหาผลตอบแทนเป็นบวกอย่างสม่ำเสมอในทุกเดือนให้กับพวกท่านได้ ซึ่งนี้คือสิ่งที่เราต้องการเตือนสตินักลงทุนทุกท่านไม่ใช่เพียงแค่เรื่องของแชร์ลูกโซ่เท่านั้น ! เพราะลงทุนจริง ๆ ของคนที่ประสบความสำเร็จ จะมีผลลัพธ์ในลักษณะนี้เสมอ  กล่าวคือมีทั้งกำไรสลับกับขาดทุน แต่โดยรวมแล้วพวกเขาสามารถทำกำไรรวมมากกว่าที่ขาดทุนไปนั่นเอง

จากข้อสรุปนี้คงทำให้ทุกท่านเข้าใจแล้วว่า แม้ในโลกการลงทุนผ่าน AI ในตลาดอนุพันธ์จะสร้างผลตอบแทนในระดับ 100% ต่อปีได้จริง แต่ไม่มีทางจะมีคนที่ทำกำไรอย่างสม่ำเสมอในทุกเดือน ดังนั้นหากพวกท่านเจอใครที่เสนอขายโดยใช้คำโฆษณาที่ชวนเชื่อเกินจริงเหล่าให้พึงระลึกไว้ว่า เป็นการโกหกกันอย่างแน่นอน” และหากใครยังคิดที่ตัดสินใจลองเสี่ยงดูก็ให้รู้ว่า ขาข้างนึงของพวกท่านได้ก้าวเข้าสู่วงจรอุบาศว์ของแชร์ลูกโซ่เป็นที่เรียบร้อยแล้ว

สุดท้ายนี้ เราขอยอมรับว่าสมาชิกในกลุ่มของพวกเรา เป็น 1 ในเหยื่อของแชร์ลูกโซ่ชื่อดังล่าสุด โดยหลงเชื่อเพราะมีคนที่เราให้ความเคารพการันตีว่า “คนกลุ่มนี้ได้ทำการลงทุนจริง” และสุดท้ายผลลัพธ์ก็เป็นอย่างที่ทุกท่านเห็น … ดังนั้น เราจึงอยากทำบทความชุดนี้ขึ้นมา เพื่ออย่างน้อยให้เป็นประโยชน์กับใครสักเพียง 1 คน ที่รู้ทันและไม่หลงเจอเรื่องราวเหล่านี้ รวมถึงอยากเชิญชวนนักลงทุนที่กำลังลงทุนในตลาด TFEX เข้ามาร่วมพูดถึงกันกับกลุ่มพวกเรา ช่วยกันแชร์ความรู้ แชร์ทัศนคติที่ถูกต้อง ไม่ใช่แค่คำชวนเชื่อสวยงามหลอกล่อให้นักลงทุนคาดหวังกันแบบผิด ๆ รวมถึงใครที่สนใจใช้หุ่นยนต์หรือ AI ในการเทรด TFEX สามารถพูดคุยกันได้ แม้เราอาจจะไม่ใช่คนที่เก่งสุดในตลาด แต่เรามั่นใจว่าเราสามารถแชร์ความผิดพลาดทั้งหมดของพวกเราให้ท่านรับรู้ และไม่หลงผิดกับมันได้ จากนี้ไปเราจะกลับมาลงเนื้อหาในสังคม Pantip อย่างต่อเนื่อง และเราขออวยพรให้กับเหยื่อเคราะห์ร้ายทุกท่าน ได้รับเงินคืนกลับมาเท่าที่ได้ และมีสติไม่หลงผิดกับเรื่องเหล่านี้อีก ขอบคุณครับ